หัวข้อข่าว: คอลัมน์ บทความพิเศษ: กฎหมาย ป.ป.ช.ปราบกลโกงแนวทางพัฒนาทัดเทียมสากล
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2560 โดย ศูนย์ประสานงานคดีระหว่างประเทศ สำนักงาน ป.ป.ช
ภายหลังจากประเทศไทยเข้าร่วมเป็นภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (United Nations Convention against Corruption 2003: UNCAC) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญในการต่อสู้กับปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้พัฒนากฎหมายให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในหลายเรื่อง และ ยังคง ติดตามทิศทางของนานาชาติที่ร่วมกันหามาตรการปราบโกงอย่างต่อเนื่อง
โดย ป.ป.ช. เล็งเห็นว่าการติดตามทรัพย์สินคืน และการไต่สวนสาธารณะ เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่น่าสนใจและจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีทุจริตให้เท่าทันบริบทของสังคมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
“ติดตามทรัพย์สินคืน” เยียวยาความเสียหายจากการทุจริต
แนวทางการดำเนินคดีทุจริตในยุคสมัยนี้ นอกจากจะต้องนำตัวผู้กระทำความผิดมา ลงโทษแล้ว หลายประเทศยังให้ความสนใจ อย่างมากกับเรื่องการนำทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตกลับคืนมาเป็นของแผ่นดินเพื่อเยียวยาความเสียหาย แต่อุปสรรคที่พบบ่อยคือทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตมักถูกยักย้ายถ่ายเทไปในที่ต่างๆ ทั้งใน และนอกประเทศ ทำให้เกิดความยากลำบากในการติดตามตัวทรัพย์
สำหรับประเทศไทย หากสามารถยึดหรืออายัดทรัพย์สินไว้ชั่วคราวในระหว่างดำเนินการไต่สวน เมื่อพบว่ามีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่าจะมีการโอน ยักย้าย แปรสภาพ หรือซุกซ่อนทรัพย์สินที่ได้ มาจากการกระทำความผิด ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ในกระบวนการติดตามทรัพย์สิน คืนของประเทศเป็นอย่างมาก เพราะจะสามารถสกัดการ เคลื่อนย้ายทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก โดยไม่ปล่อยให้ ผู้กระทำความผิดมีโอกาสนำทรัพย์สินไป ซุกซ่อนไว้ที่อื่น และเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้ริบทรัพย์ ป.ป.ช.ก็สามารถดำเนินการกับทรัพย์สินเหล่านั้นได้ทันที
นอกจากนี้ ด้วยเหตุที่ทรัพย์สินจากการกระทำทุจริตมักถูกโยกย้ายข้ามประเทศ กลไกความร่วมมือระหว่างประเทศจะต้องได้รับการพัฒนาควบคู่กันไปด้วย เพื่อเร่งติดตามและนำทรัพย์สินเหล่านั้นกลับคืน สู่ประเทศไทยโดยเร็วอันจะช่วยชดเชย ความเสียหายที่เป็นผลจากการทุจริต
“ไต่สวนสาธารณะ” ปราบทุจริตเชิงนโยบาย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศประสบปัญหาการทุจริตที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็น วงกว้างและสร้างความเสียหาย มหาศาลต่อภาพรวมของประเทศ รวมถึง การฉ้อโกงด้วยวิธีการที่ซับซ้อนอย่าง “การทุจริตเชิงนโยบาย” ของฝ่ายบริหารหรือ นักการเมืองผู้มีอำนาจ โดยอ้างการจัดตั้งแผนงานและโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่แท้จริงกลับเป็นนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้อง ซึ่งในต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลียและแคนาดา ก็มีการนำกระบวนการที่เรียกว่า “การไต่สวนสาธารณะ” (Public inquiry / Public hearing) มาปรับ ใช้กับการดำเนินคดีทุจริตประเภทนี้
ทั้งนี้ การไต่สวนในรูปแบบดังกล่าวควรใช้กับกรณีที่มีลักษณะเป็นความผิดร้ายแรงและกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งต้องคำนึงถึงเหตุผลและความจำเป็น อื่นๆ เช่น ประโยชน์ของการเปิดเผยสู่สาธารณะ และการคุ้มครองสิทธิของบุคคลและผล กระทบต่อรูปคดี ซึ่ง ป.ป.ช. คาดว่ารูปแบบ การไต่สวนเช่นนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการกับคอร์รัปชันระดับนโยบายที่สาธารณชนเป็นผู้มีส่วนได้เสีย โดยอาศัยกลไกความร่วมมือจากภาคประชาสังคม สื่อ และประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบ ความช่วยเหลือด้านพยานหลักฐาน ตลอดจน อาจจะสามารถยับยั้งการดำเนินโครงการที่ ส่อแววทุจริตซึ่งอยู่ระหว่างการไต่สวน
โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ (Mega project) ที่การไต่สวนสาธารณะจะช่วยป้องกันความเสียหายจากการนำงบประมาณของประเทศไปลงทุนโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ดังนั้น การไต่สวนสาธารณะจึงสามารถเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการเอาผิดกับผู้วางนโยบายที่ต้องการแสวงหาประโยชน์จากสังคมในทางมิชอบ
ในยุคที่การขจัดปัญหาคอร์รัปชันเป็น วาระแห่งชาติที่รัฐบาลเร่งดำเนินการ ประกอบ กับร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับปราบโกง กำลังจะมีผลบังคับใช้ ทำให้เห็นทิศทางที่ดี ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่ง ป.ป.ช. ก็เตรียมเสนอมาตรการและกลไกทางกฎหมาย ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมาปรับใช้ เพื่อช่วยขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมที่ปราศจากการทุจริต
‘การไต่สวนสาธารณะ จะช่วยป้องกัน ความเสียหาย จากการนำ งบประมาณ ของประเทศ ไปลงทุน โดยไม่เกิด ประโยชน์’
ร่างรัฐธรรมนูญที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับปราบโกง กำลังจะมีผลบังคับใช้ เป็นทิศทางที่ดี ในการร่วมกันแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน