หัวข้อข่าว ขวางทางปืน
ที่มา; คอลัมน์ แตกใบอ่อน: ขวางทางปืน – แนวหน้า ฉบับวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559
มะลิลา
เป็นเสียยิ่งกว่า “สายฟ้าแลบ” สำหรับ คำสั่งโยกย้าย “นายเกษมสันต์ จิณณวาโส” ออกจากเก้าอี้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา โดยให้มานั่งตบยุงที่ตำแหน่ง “ผู้ตรวจราชการพิเศษ” ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แม้การโยกย้ายครั้งนี้ จะไม่ได้เป็นการเสนอจากรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง “บิ๊กเต่า” พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่เป็น “ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เป็นผู้เสนอขอ “รับโอน” ให้มาทำงาน โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่เหมาะสม
แต่หากย้อนไปฟังเสียงของ นายเกษมสันต์ ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนภายหลังรับทราบข่าวดังกล่าวก็จะทราบถึง “กลิ่นอาย” ความไม่ปกติของการโยกย้ายครั้งนี้ เพราะแม้ นายเกษมสันต์ จะบอกว่า ไม่ติดใจกับการโยกย้ายครั้งนี้ แต่เมื่อถูกถามย้ำว่าเป็นเพราะมีความขัดแย้ง กับ พล.อ.สุรศักดิ์ มาก่อนหรือไม่ นายเกษมสันต์ ก็ตอบด้วยน้ำเสียงแปล่งๆว่า ขอให้ไปถามรัฐมนตรีเอาเอง แต่โดยส่วนตัวแล้วทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่แล้ว ส่วนเรื่องความขัดแย้งคงไม่ต้องพูดถึง
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงสำหรับการโยกย้ายครั้งนี้ แม้จะมีกระแสข่าวว่า ที่ นายเกษมสันต์ ต้องกระเด็นจากเก้าอี้ปลัดกระทรวงอย่างกะทันหัน เป็นเพราะช่วงที่ผ่านมาถูกร้องเรียนในหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณีการแต่งตั้งผู้อำนวยการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) 18 ตำแหน่ง ซึ่งคนที่ได้จบมาจากโรงเรียนป่าไม้แพร่ทั้งสิ้น ขณะที่ข้าราชการที่จบจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สอบไม่ได้แม้แต่คนเดียว จนนำไปสู่การร้องเรียนถึง พล.อ.สุรศักดิ์ ว่าไม่มีความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม หากไปถามคนในสำนักปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็จะได้คำตอบอีกอย่าง เพราะข้าราชการที่นั่นพากันวิจารณ์กันอย่างหนาหูว่า สาเหตุที่แท้จริงเพราะ นายเกษมสันต์ ดันไปขวางทางปืนของ “บิ๊กเต่า” เข้าให้
เรื่องของเรื่องมาจาก พล.อ.สุรศักดิ์ เจ้ากระทรวง พยายามจะผลักดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตาม ม.44 ยุบรวม “กรมทรัพยากรน้ำบาดาล” มารวมกับ “กรมทรัพยากรน้ำ” เพื่อจัดตั้งหน่วยงานใหม่ คือ “สำนักงานคณะกรรมการน้ำแห่งชาติ”เพื่อมาดูแลเรื่องน้ำทั้งระบบตามนโยบายของรัฐบาล และ พล.อ.สุรศักดิ์ เองก็เห็นว่า ที่ผ่านมาการทำงานของทั้ง 2 กรมยังไม่เข้าเป้าและต่างคนต่างทำงาน เวลาเกิดน้ำท่วม ภัยแล้งขึ้นมาที ก็ทำงานกันออกทะเล จนรัฐบาลโดนถล่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงจำเป็นต้องรื้อโครงสร้างการบริหารเดิมๆ และวางโครงสร้างใหม่ขึ้นมาดำเนินการแทน
แต่คนที่ค้านเรื่องนี้ชนิดหัวชนฝาก็คือ นายเกษมสันต์ เนื่องจากมองว่าเป็นการมองปัญหาที่ไม่รอบด้าน เนื่องจากในการทำงานด้านการจัดการน้ำยังมีหน่วยงานอื่น โดยเฉพาะ “กรมชลประทาน” เข้ามาเกี่ยวด้วย ดังนั้นหากจะมีการปรับโครงสร้างจริง ก็ต้องคุยกันยาว และคุยกันให้ลึกกว่านี้ ไม่ใช่หลับหูหลับตาลงมือทำแบบดุ่ยๆ ไปเหมือนที่ พล.อ.สุรศักดิ์ กำลังดำเนินการ
พอออกเสียงคัดค้านทัดทานกันมากเข้าก็เลยกลายเป็นความขัดแย้ง ขณะเดียวกันก็มีคนในรัฐบาลเองก็เริ่มไม่แฮบปี้ที่เห็น นายเกษมสันต์ เที่ยวไปพูดแสดงความไม่เห็นด้วยต่างวาระต่างๆหลายครั้ง สุดท้ายผลจึงออกมาแบบที่เห็น คือ เมื่อขวางทางปืน ก็เลยต้องโดนลูกปืนเขี่ยให้พ้นทาง
อย่างไรก็ตาม “บิ๊กเต่า” และบิ๊ก รัฐบาลก็อย่าเพิ่งประมาทไป
เพราะแว่วมาเหมือนกันว่า งานนี้ ยังไม่จบ!