หัวข้อข่าว บทเรียน เรื่องฝาย‘แม่ผ่องพรรณ‘ พัฒนากรวด ในรองเท้า
ที่มา; มติชน ฉบับวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559
ไม่ว่า “ภาพ” เมื่อ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา และคณะ เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิด “ฝาย” ไม่ว่าภาพอันตามมาในภายหลังเกี่ยวกับการ “ออกงาน” ต่างกรรม ต่างวาระ
ล้วนมาจาก “คนใน”เพราะภาพเปิดฝายเด่นชัดอย่างยิ่งว่าเผยแพร่ผ่าน “เว็บไซต์” สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
มิได้เป็นภาพจาก “ช่างภาพ” มืออาชีพไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพของ “หนังสือพิมพ์” ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพของ “โทรทัศน์” ซึ่งประจำตามจุดต่างๆ รวมทั้งที่จังหวัดเชียงใหม่
ยิ่งภาพ “กิจกรรม” แปลกๆ ของ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา
ยิ่งแสดงออกอย่างเด่นชัดว่า เป็นภาพอันมาจาก “สมาชิก” แห่งสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมอย่างแน่นอน
เป็นใครไหนเล่าที่ไปร่วม “เกี่ยวข้าว” ในท่ามกลางประชาชน
เป็นใครไหนเล่าที่สวม “เสื้อกันฝน” เดินพาเหรดอย่างพร้อมเพรียงกัน ณ เบื้องหน้าฝาย “แม่ผ่องพรรณพัฒนา”ถามว่าทำไมถึงได้ “แพร่” ภาพชนิด “ลับเฉพาะ” ออกมา
ที่รายงานข่าวจากแวดวงผู้สื่อข่าว “สายทหาร” อ้างแหล่งข่าวจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ระบุฐานที่มาของข่าว “แม่ผ่องพรรณ” ว่าจากคนที่ไม่พอใจการโยกย้าย แต่งตั้ง1 จากคนที่ไม่พอใจต่อบุคลิกและเอกลักษณ์ส่วนตนของ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นคนดุตรงไปตรงมานั้น “ใกล้เคียง” อย่างยิ่งเหล่านี้ล้วน “ต่าง” ออกไปจากข่าวอันเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารีฯ ซึ่งได้งานก่อสร้างในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 อย่างต่อเนื่อง
เพราะข่าวนี้มาจากกระบวนการใน “การสืบสวน” และ “เจาะ”เป็นการเจาะเข้าไปยังรายละเอียด ผลงานรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท เป็นการเจาะเข้าไปยังที่ตั้งสำนักงานของห้างหุ้นส่วนจำกัดซึ่งอยู่ใน “ค่ายทหาร” แห่งหนึ่งของจังหวัดทหารบกพิษณุโลก อันเป็นพื้นที่ของกองทัพภาคที่ 3
สะท้อนถึงความแนบแน่นกับ “กองทัพ”กระนั้น เมื่อนำเอารายละเอียดจาก “ข่าวเจาะ” ซึ่งเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ประสานกับภาพในลักษณะ “ลับเฉพาะ”ซึ่งปล่อยออกมาอย่างเป็นระบบ เป็น กระบวนการ
เรตติ้งของ “แม่ผ่องพรรณ” จึงพุ่งกระฉูด
การออกมายืนยัน “ความบริสุทธิ์” ไม่ว่า จะโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณไม่ว่าจะโดย พล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์สามารถเข้าใจได้
เป็นความบริสุทธิ์และจริงใจในการสร้าง “ฝาย” ตามข้อเรียกร้องของ “ประชาชน”เป็นความบริสุทธ์เพราะว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดคอนเทมโพรารีฯ ยื่นซองประกวด ต่อทางราชการอย่างถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
แต่การก็ดำเนินไปเหมือนบทสรุปของ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์
“สิ่งที่ทำแม้ไม่ผิดก็น่าเกลียด เพราะเป็นบริษัทจดทะเบียนตั้งอยู่ในค่ายทหารและประมูลงานของกองทัพได้ทุกงาน”
อาจจะ “ขยาย” เกินจริงไปได้ เพราะความเป็นจริงเฉพาะบางงานของ “กองทัพภาคที่ 3”
แต่ที่ควรรับฟังอย่างมีโยนิโสมนสิการคือคำว่า “น่าเกลียด” เพราะอาจถูกมองว่าดำเนินไปอย่างมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน”ทั้งหมดจึงกลายเป็นเรื่อง “ละเอียดอ่อน”
ผลที่สุด หากการตรวจสอบโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีบทสรุปอย่างเดียวกันกับการตรวจสอบ “อุทยานราชภักดิ์”นั่นก็คือ 9 ต่อ 0 เห็นว่า “ไม่ทุจริต”แต่ภาพของ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ก็ยังติดตรึงอยู่ในใจ และกระบวนการได้มาซึ่งผลงานในกองทัพภาคที่ 3 ก็ยังฝังจำ
หากเทียบกับกระแสการโจมตีต่อบางพวก บางฝ่ายตั้งแต่ก่อนรัฐประหารเดือนกันยายน 2549 เป็นต้นมา
กรณีของ “แม่ผ่องพรรณ” เป็นภาพเล็กมาก กรณีการประมูลในวงเงินกว่า 100 ล้านบาท เป็นจำนวนจิ๊บจ๊อย กะล่อยกะหลิบ และดำเนินไปเหมือนกับ “ก้อนกรวด” อันพลัดเข้าไปใน “รองเท้า”เพียงแต่ว่าเป็น “รองเท้า” ของใครเท่านั้นเอง