บิ๊กตู่ไม่ปกป้อง’น้องชาย’ลุยเชือด’ปู’ส่งขึ้นเขียงทวง3.5หมื่นล.เรียกค่าเสียหายจำนำข้าวลั่นเป็นหน้าที่-เปล่าแกล้งยิ่งลักษณ์โวยเลือกปฏิบัติจี้ใช้กม.เดียวกับอุ้มบิ๊กติ๊ก

หัวข้อข่าว บิ๊กตู่ไม่ปกป้อง’น้องชาย’ลุยเชือด’ปู’ส่งขึ้นเขียงทวง3.5หมื่นล.เรียกค่าเสียหายจำนำข้าวลั่นเป็นหน้าที่-เปล่าแกล้งยิ่งลักษณ์โวยเลือกปฏิบัติจี้ใช้กม.เดียวกับอุ้มบิ๊กติ๊ก

ที่มา; แนวหน้า ฉบับวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

 

เมื่อวันที่ 25 กันยายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากการเข้าร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 71 ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงกรณีคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง ที่มีอธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน พิจารณาสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สรุปตัวเลขความเสียหายที่ต้องจ่ายจำนวน 35,717 ล้านบาทว่า ขั้นตอนต่อไป รัฐบาลมีหน้าที่ นำเข้าสู่กระบวนการอย่างเดียว ตามพ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 ที่ใช้มากว่า 5 พันคดีแล้ว

 

ลั่นไม่ได้กลั่นแกล้ง’ยิ่งลักษณ์’

 

“ไม่ได้แกล้งใคร ไม่ได้เลือกปฏิบัติอะไรใคร มันมีหน้าที่อยู่ ถ้าไม่ทำรัฐบาลไม่ดำเนินการก็จะถูกดำเนินการตามมาตรา 157 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และต้องทำให้ทันอายุความที่จะสิ้นสุด ภายในเดือนก.พ. 2560 ผมไม่ได้ไปเร่งรัดอะไรกฎหมายเขาเขียนไว้อย่างนั้น รู้จักกฎหมายกันไหม” นายกฯ กล่าว

 

เรียกค่าเสียหายเป็นหน้าที่รบ.

 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า เมื่อที่มาจากการร้องทุกข์กล่าวโทษ ใครมีหน้าที่ ก็ทำไป ส่วนการตัดสินเป็นเรื่องของศาล ไม่ใช่เรื่องของตน รวมทั้งตั้งคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งแบบจีทูจีในส่วนของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว. พาณิชย์และพวกนั้น ก็เป็นหน้าที่รัฐบาล ซึ่งได้มีการตรวจสอบ 2 ฤดูกาลผลิต ในปี’55/56 และปี’56/57 ตามที่ป.ป.ช.และหน่วยงานที่ตรวจสอบให้สอบ และทำตาม คำสั่งศาล ส่วนการจะไปดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมอย่างไร มันก็มีสิทธิสามารถทำได้ ผู้ถูกกล่าวหาก็ร้องอุทธรณ์ได้

 

“แล้วมันผิดตรงไหน หรือไม่ต้องเข้ากระบวนการเลย แล้วเอารัฐบาลผมไปรับโทษแทน คิดให้มันถูกต้อง อย่าไปฟังสิ่งที่มันอ้างไปอ้างมา เอาหลักฐาน เอากฎหมายมาว่ากัน เวลานี้ประชาชนสับสนไปหมด กฎหมายไม่เป็นกฎหมายไปหมด เขาจะแกล้งเรื่องอะไร” นายกฯ กล่าว

 

ประกาศชัดไม่ป้อง’น้องชาย’

 

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีการวิพากษ์วิจารณ์หลังมีผู้ร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ทั้งในเรื่องการสร้างฝายที่อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ และการประมูลงานก่อสร้างของ กองทัพภาค 3 ซึ่งเกี่ยวข้องกับพล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และครอบครัว ว่า เรื่องน้องชายก็ส่วนน้องชาย เป็นคนละคน ส่วนที่ตนถูกโจมตีไปด้วยนั้นก็โจมตีไป เพราะโดนอยู่ทุกวันอยู่แล้ว แต่อย่าทำผิดกฎหมายกับตนก็แล้วกัน

 

เปิดทางปปช.สอบ-เชื่อไม่โง่

 

ผู้สื่อข่าวถามว่านายกฯ ห่วงหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า แล้วคุณห่วงน้อง ห่วงญาติพี่น้องคุณหรือไม่ และเรื่องที่ถูกโจมตีเหล่านั้นจริงหรือเปล่า พิสูจน์หรือยังว่ามันผิด โดยในเรื่องการทำธุรกรรมบริษัทนั้น ยังไม่รู้ว่าถูกหรือผิด

 

“เขาคงไม่โง่หรอก แต่ผมก็ไม่รับประกันแทนอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของเขาที่ต้องรับผิดชอบไป เพียงแต่ว่ามันจะถูกจับตานี่โน่น คือ พอมีอะไรขึ้นมาผมก็จะต้องโดน แล้วมาบอกว่ารัฐบาลไม่เอาใจใส่ มัน คนละประเด็น อยากจะสอบก็สอบไป แต่อย่า ไปเอาเรื่องที่เกิดขึ้นมาตีกันอีกว่าทางนี้ก็เป็น จะทำไปเพื่ออะไร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

 

นายกฯ กล่าวอีกว่า เมื่อมีการฟ้องร้อง ก็ให้สอบไป ตนคงไม่ทำตัวแบบที่มันเกิดๆ มาหรอก อะไรที่ตัดสินแล้วหลุดตัวเองถูกตัวเองดีนั้นชอบกระบวนการศาลยุติธรรม แต่ถ้าไม่หลุดแล้วด่าศาล คนแบบนี้มันอยู่ได้ยังไงประเทศไทย ก็ปล่อยให้เขาทำลายต่อไปแล้วกัน ตนก็ทำได้แค่นี้

 

‘จิรชัย’ไม่แย้งคลังเคาะค่าเสียหาย

 

ทางด้านนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว กล่าวถึงกรณีกระทรวงการคลังสรุปความเสียหายคดีจำนำข้าวในส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯที่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย 3.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 20 จาก วงเงินรวม 1.78 แสนล้าน โดยผิด 2 ฤดูกาล หลังสุดคือฤดูกาล 2555/2556 และ 2256/2557 ว่า คณะกรรมการชุดของตนได้สรุปความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไว้ที่ 2.8 แสนล้านบาท โดยคิดความเสียหายใน 4 ฤดูกาล ตั้งแต่ปี 2554-2557 แต่ในเมื่อชุดนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งฯ คิดค่าเสียหาย 2 ฤดูกาลนั้นตนก็เข้าใจพร้อมทั้งเคารพการตัดสินใจของ นายมนัสและไม่ขอก้าวล่วงอะไร

 

ทั้งนี้มองว่านายมนัสสามารถชี้แจงกับสังคมได้ว่าทำไมถึงคิด 2 ฤดูกาล แต่เชื่อว่าทุกอย่าง ทุกขั้นตอนที่คณะกรรมการของนายมนัสตัดสินใจสรุปออกมานั้นตัดสินใจ ตามเนื้อผ้าอย่างแน่นอน

 

‘ปู’ขอความเป็นธรรม’บิ๊กตู่’

 

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวว่า “ทุกอย่างที่นายกฯยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรม และปกป้องน้องชายท่าน รวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”

 

พท.แถลงการณ์อัดบิ๊กตู่ลุอำนาจ

 

ส่วนพรรคเพื่อไทย(พท.) ได้ออกแถลงการณ์เรื่อง ขอให้ทบทวนกระบวนการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และยกเลิกการใช้มาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคับคดี ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองด้วยการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจำนำข้าว ขณะเดียวกันกลับคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว ให้ไม่ต้องรับผิด

 

แถลงการณ์ระบุว่า การออกคำสั่งดังกล่าว นอกจากไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลและหัวหน้า คสช. ที่จะมุ่งเอาผิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีและ ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีโครงการรับจำนำข้าวให้ได้ โดยไม่สนใจกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นการลุแก่อำนาจสร้างความไม่ชอบธรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหา และการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมอีกด้วย

 

จวก’คสช.-รบ.’เป็นคู่ขัดแย้ง

 

“เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า คสช.และรัฐบาลปัจจุบันล้วนเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายจำนำข้าว ดังนั้นจึงถือเป็นผู้มีส่วนได้เสีย “เป็นคู่ขัดแย้ง” และมิใช่ “ผู้เป็นกลาง” การที่พยายามจะดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียหาย กับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์และผู้เกี่ยวข้องในคดีจำนำข้าว ด้วยวิธีการใช้คำสั่งทางปกครอง โดยไม่เลือกใช้กระบวนการฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบและขัดหลักนิติธรรม จึงขอให้มีการทบทวนกระบวนการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และยกเลิกการใช้มาตรา 44 โดยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ” แถลงการณ์พรรค พท.ระบุ

 

บ.ลูกบิ๊กติ๊กไม่ผิด-แต่น่าเกลียด

 

ที่พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสส.กทม.พรรคปชป.กล่าวถึงกรณีที่มีการโจมตีว่าบุตรชายคนโตของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม รับเหมาโครงการก่อสร้างของกองทัพภาค 3 ส่วนหน้าว่า ตนยังไม่ได้ตามไปดูในเรื่องดังกล่าวว่าเข้าข่ายขัดต่อกฎหมายหรือไม่ในการเข้าประมูลงาน เพราะต้องไปดูเรื่องของราคากลางคนที่เข้าประมูลงานด้วย แต่เห็นว่าสิ่งที่ทำแม้ไม่ผิด แต่ก็น่าเกลียดเพราะเป็นบริษัทที่ตั้งจดทะเบียนตั้งอยู่ในค่ายทหารและประมูลงานของกองทัพได้ทุกงาน และที่ตนยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบในเรื่องนี้ไม่ได้กลัวแต่เพราะมีเรื่องทุจริตของการประปาฯ และกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมาก