หัวข้อข่าว บุญทรงขู่ดึงบิ๊กตู่ขึ้นศาล เดือดใช้ม.44เร่งรัดคดีจีทูจีเก๊ รัฐดันก.ม.4ชั่วโคตรเข้าสนช.
ที่มา; คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559
“บุญทรง” ลั่นสู้ถึงที่สุด ขู่ดึง “บิ๊กตู่” ขึ้นศาล เชื่อใช้ ม.44 เร่งรัดคดี-ปกป้อง จนท. ด้านทนาย “ยิ่งลักษณ์” ยื่นรอบ 8 ค้าน “สุภา” นั่งเป็นประธานไต่สวนถึง 6 คดี “วิษณุ” เล็งดัน ก.ม.4 ชั่วโคตรเข้า สนช.ปลายปีนี้
อดีตรมว.พาณิชย์ที่ถูกฟ้องคดีระบายข้าวจีทูจี ยืนยันว่าจะต่อสู้คดีอย่างถึงที่สุดและจะดึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มาขึ้นศาลให้ได้
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ และ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ลงนามในหนังสือบังคับทางปกครอง เรียกร้องค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจี ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสืออย่างเป็นทางการ หากได้รับแล้วจะให้ฝ่ายทนายศึกษารายละเอียดและดูเงื่อนไขต่างๆ ว่าเป็นอย่างไร คาดว่าจะใช้เวลาในการอ่าน 2-3 วัน แต่สิ่งที่เตรียมการไว้คือต้องปกป้องสิทธิ์ เพราะตามกฎหมายสามารถยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเพื่อคัดค้าน อุทธรณ์คำสั่งได้ หลังจากนั้นจะเตรียมการไปยื่นศาลปกครอง และหากในเอกสารคำสั่งระบุว่าให้อุทธรณ์คำสั่งไปที่กระทรวงพาณิชย์ ก็คงจะอุทธรณ์คำสั่งไปที่กระทรวงพาณิชย์อีกทางหนึ่ง
เมื่อถามถึงการต่อสู้ทางคดีนอกจากเรื่องที่รัฐใช้มาตรา 44 เร่งรัดขั้นตอน และประเด็นที่นายกรัฐมนตรีไม่ลงนามคำสั่งทางปกครองเอง จะมีประเด็นใดต่อสู้อีกหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า เรามีประเด็นในการต่อสู้อีก แต่ขณะนี้ยังไม่เห็นหนังสืออย่างเป็นทางการ จึงยังไม่อยากจะสรุปไปก่อน แต่ในภาพใหญ่ที่มอง เหตุที่ใช้มาตรา 44 และอ้างว่าไม่ใช่การรวบรัด แต่เป็นการเตรียมการเอาไว้ก่อน ตนคิดว่าการเตรียมการไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 44 ด้วยซ้ำ เพราะกรณีที่ศาลฎีกากำลังพิจารณา เมื่อพิพากษาให้เราเป็นฝ่ายผิดจริง กระบวนการก็จะไปสู่กรมบังคับคดีอยู่ดี ไม่มีเหตุอะไรที่จะต้องใช้มาตรา 44 ในขณะนี้
เผยปูให้กำลังใจ-ขู่ดึง”บิ๊กตู่”ขึ้นศาล
“ผมเข้าใจว่าไปเองหรือเปล่าไม่รู้ ว่าการใช้มาตรา 44 เพื่อจะมาปกป้องคนที่ลงนามมากกว่า ซึ่งเดาว่าหลายท่านคงคิดละเอียดแล้วว่า สิ่งที่จะดำเนินการต่างๆ จะทำได้หรือไม่ มันมีข้อโต้แย้งทางกฎหมายมากอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นเอกสารในการคำนวณเรียกความเสียหายจากกระทรวงการคลัง เท่าที่ทราบก็ดำเนินการเรียบร้อยมานานพอสมควร แต่ไม่มีการออกคำสั่งใดๆ อาจเป็นเพราะยังไม่มีมาตรา 44 หรือไม่ พอมีก็ทำเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งถือเป็นข้อพิรุธ และข้อสังเกตที่คิดว่าน่าจะมีมูลว่า การออกมาตรา 44 เพื่อเอามานิรโทษกรรมไว้ก่อน ซึ่งการใช้มาตรา 44 ตามการอธิบายของท่าน มันเป็นจิตวิทยาหนึ่ง คือคนเซ็นก็สบายใจมากขึ้น ผมเข้าใจอย่างนั้น ถึงจะอธิบายอ้อมไปอ้อมมาอย่างไรก็แล้วแต่ ผมคิดว่าคนที่เขาดูอยู่ เขาคงเห็นภาพ ถ้าไม่มีมาตรา 44 ออกมา ก็คงไม่มีใครเซ็น” นายบุญทรง กล่าว
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บ้างหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า ได้โทรมาให้กำลังใจ และแนะนำให้ต่อสู้ อย่าท้อถอย เพื่อแสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ มีความมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปไม่มีอะไรเสียหาย ส่วนฝ่ายผู้ออกคำสั่งทางปกครองจะมองเป็นอย่างอื่นไปก็คงต้องไปพิสูจน์กัน ตอนนี้ก็นอนหลับสบายตลอด คงไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ส่วนข้าราชการที่โดนคดีด้วยกันทุกคนก็ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ทุกคนมั่นใจในความบริสุทธิ์ ไม่มีอะไรต้องเกรงกลัว เอาข้อเท็จจริงมาว่ากัน
“ยืนยันจะสู้ให้ถึงที่สุด ต้องเอา พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มาขึ้นในชั้นศาลให้ได้” นายบุญทรง กล่าว
เมื่อถามว่า จะมีการยื่นร้องขอความช่วยเหลือจากองค์กรระหว่างประเทศบ้างหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า ยังไม่ได้มองไปขนาดนั้น ในเบื้องต้นกระบวนการศาลไทยน่าจะเพียงพอ
“ปู”ข้องใจป.ป.ช.สอบบริหารจัดการน้ำ
ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคดีการบริหารจัดการน้ำ ปี 2554 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน และทำหนังสือแจ้งให้ลงนามรับทราบคำสั่งโดยให้แจ้งกลับมายัง ป.ป.ช.ภายใน 15 วัน ซึ่งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าว มี น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธาน ว่า เป็นข้อกล่าวหาที่แจ้งโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนมา แต่ตนไม่เข้าใจ เพราะการบริหารจัดการน้ำ
ตอนที่เข้ามาน้ำได้ท่วมอยู่แล้ว ทำไมจึงโดนอยู่คนเดียว ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น
“หวังว่า ป.ป.ช.จะให้ความเป็นธรรม ทุกวันนี้คดีที่เจออยู่ นั่งอยู่ดีๆ ก็ต้องมารับเรื่องหมด ตอนนี้มีถึง 15 คดีแล้ว จึงเป็นเหตุผลให้ต้องส่งทนายคัดค้านต่อ ป.ป.ช. แต่ก็ได้รับการปฏิเสธร้องขอทุกครั้ง ทั้งจากร้องผ่านทางสื่อมวลชนและสาธารณชนด้วย อยากให้ปฏิบัติเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เพราะจะเห็นได้ว่ามาตรฐานที่ทำกับคดีดิฉันมาเร็วมาก รับทุกเรื่อง พิจารณาทุกเรื่อง แต่ในขณะเดียวกันคดีของผู้อื่นไม่คืบหน้าเลย ถ้าการที่ตั้งข้อกล่าวหาโดยที่ไม่คำนึงถึงเหตุผล ใครอยากจะใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองก็เอามาใช้ ก็ไม่มีวันจบ” อดีตนายกฯ กล่าว
เหน็บรัฐถ้ามั่นใจทำไมต้องใช้ ม.44
ส่วนในเรื่องของมาตรา 44 ที่ให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เท่าที่ทราบกรมบังคับคดีต้องได้รับคำสั่งจากศาลปกครอง ซึ่งการใช้มาตรา 44 สิ่งแรกที่มองคือ ผลของคดีไม่ว่าจะเป็นอย่างไรยังไม่รู้ ฉะนั้นการออกคำสั่งมาตรา 44 มอบอำนาจให้กรมบังคับคดี ก็เหมือนเป็นการชี้นำคดี ซึ่งต้องขอร้องเพราะมันมีผลกับคดีอื่นๆ ที่ดำเนินการอยู่ในชั้นศาล ถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ได้รับ
“ถ้ามั่นใจว่ากระบวนการทั้งหมดมีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทำไมต้องใช้มาตรา 44 ด้วย แต่กระบวนการสอบสวนขั้นต้นในการปกป้องข้าราชการ ถ้ามั่นใจว่าข้าราชการทำถูกก็ไม่ต้องกลัวการถูกฟ้องร้อง แต่วันนี้ใช้มาตรา 44 กันถูกฟ้องร้องใครจะทำอะไรก็ได้ แล้วอย่างนี้ขนาดอดีตนายกฯ ยังปกป้องและหาความยุติธรรมให้แก่ตัวเองไม่ได้ แล้วประชาชนธรรมดาปกติจะเรียกหาความยุติธรรมได้อย่างไร” น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ถึงวันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องตอบว่าทำไมถึงไม่ใช้อำนาจตามปกติ ซึ่งก็ได้ท้วงไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า การพิจารณาเรื่องความเสียหาย ตามหลักสากลก็ต้องไปร้องที่ศาลแพ่ง และรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคู่กรณีกับเราซึ่งก็ต้องร้องศาลให้เป็นผู้ตัดสิน ว่าฝ่ายตนหรือรัฐบาลถูกหรือผิดกันแน่ ที่จะมาเรียกร้องค่าเสียหาย ขณะเดียวกันรัฐบาลกลับไม่เลือกใช้วิธีการฟ้องร้องตามกระบวนการยุติธรรม เพียงเพราะไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมศาลและเพียงเพราะเพื่อร่นระยะเวลาให้ง่ายขึ้น ก็ใช้คำสั่งทางการปกครองกับตน อย่างนี้เท่ากับรัฐบาลเป็นคู่กรณีกับตนโดยตรง และบวกกับการใช้มาตรา 44 ในการคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ตั้งแต่การสอบสวนไปจนถึงการมอบอำนาจให้แก่กรมบังคับคดีถือเป็นการชี้แจงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ต้องตั้งคำถามกลับ
ยื่นรอบ 8 ค้าน”สุภา”นั่งปธ.ไต่สวนฯ
เมื่อเวลา 10.00 น. นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากน.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ายื่นหนังสือเป็นครั้งที่ 8 ถึง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ผ่านนายพูลศักดิ์ คูณสมบัติ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสำนักการข่าวและกิจการพิเศษเพื่อยืนยันการคัดค้านการแต่งตั้ง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีที่กล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งหมด 15 คดี โดยใน 6 คดีมี น.ส.สุภา เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนฯเช่นกรณีถูกกล่าวหาแทรกแซงหรือเอื้อบุคคลในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ กรณีกล่าวหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำ กรณีถูกกล่าวหาเรื่องการจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ชุมนุมทางการเมือง และมี 1 คดี ที่มีนายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป.ป.ช.ที่พ้นตำแหน่งไปแล้วแต่กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงด้วย
นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ในสมัยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น น.ส.สุภาเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาและเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวก็มีเหตุให้ข้อมูลการปิดบัญชีหลุดออกไปถึงมือนักการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น นอกจากนี้ น.ส.สุภาและนายวิชา ยังเคยไปเป็นพยานเบิกความในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีโครงการรับจำนำข้าวซึ่งถือเป็นคู่ขัดแย้งอย่างชัดเจน น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงเห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากปล่อยให้ น.ส.สุภาเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และนายวิชา ที่พ้นตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงอีกจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการไต่สวนข้อเท็จจริง ทั้งๆ ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทั้งหมดถึง 9 คน แต่เหตุใด ถึงให้ น.ส.สุภา เป็นประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนฯ ถึง 6 คดี
นายนรวิชญ์กล่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เคยยื่นร้องคัดค้านมาแล้วถึง 7 ครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้น เพื่อรักษาสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้ถูกกล่าวหา ตามคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเพื่อให้คดีของอดีตนายกรัฐมนตรีได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องและเป็นธรรม จึงขอคัดค้านความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งนี้ ประเด็นใหม่ที่มีการยื่นเพื่อขอคัดค้านเพิ่มเติมครั้งนี้ คือ รายละเอียดการให้การในชั้นศาลในคดีจำนำข้าวของ น.ส.สุภา
นายนรวิชญ์เปิดเผยอีกว่าเมื่อวันที่8 กันยายน ที่ผ่านมา คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังได้ส่งหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อแจ้งให้ทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น กรณีมีหน้าที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบในการเก็บกัก ควบคุม ระบายหรือบริหารจัดการน้ำ เป็นเหตุให้เกิดมหาอุทกภัย ในปี 2554 ซึ่งหนังสือดังกล่าวเป็นการแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ลงนามรับทราบในคำสั่งดังกล่าว และแจ้งกลับมายัง ป.ป.ช.ภายใน 15 วัน ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวก็มี น.ส.สุภา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนฯ ด้วยเช่นกัน
วิษณุจวก”บิดเบือนอย่างร้ายกาจที่สุด”
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีผู้ระบุว่ารัฐบาลใช้มาตรา 44 เพื่อยึดทรัพย์ในคดีโครงการรับจำนำข้าวว่า ไม่ใช่เป็นการใช้มาตรา44เพื่อเล่นงานคำพูดนี้เป็นคำพูดที่บิดเบือนอย่างร้ายกาจที่สุด เพราะการเล่นงานหรือไม่ เป็นการใช้ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่เคยใช้เล่นงานมาหลายคดี เช่น คดีรถดับเพลิง ที่รวมแล้วกว่า 3,000คดีคดีจำนำข้าวนั้นถ้าจะถูกเล่นงานก็เล่นงานโดย พ.ร.บ.นี้ นายวิษณุ กล่าวต่อว่า ปัญหาคือ เมื่อเขาบอกว่าผิด จะเข้าไปยึดทรัพย์ ใครจะเป็นคนไปยึด กระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์นั้นตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทำเรื่องการเงินและการค้าไม่มีวัตถุประสงค์จะไปยึดทรัพย์ถ้าจะให้เขายึด เขายึดไม่เป็น ไม่มีเจ้าหน้าที่ แต่หน่วยงานที่มีหน้าที่ยึดทรัพย์ในประเทศไทย คือ กรมบังคับคดี แต่กฎหมายระบุว่าจะยึดทรัพย์บังคับคดีได้เฉพาะที่ศาลได้มีคำพิพากษา ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เขามายึดทรัพย์ในคดีที่ศาลยังไม่พิพากษา คือ ยึดตามคำสั่งปกครอง
“เขาไม่ได้เพิ่งนึกได้ในวันนี้ กระทรวงยุติธรรมส่งหลักฐานมาให้ผมว่า สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เคยทำเรื่องขอตั้งกองยึดทรัพย์บังคับคดีตามคำสั่งปกครองขึ้นในกรมบังคับคดี แต่ว่าคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ไม่อนุญาต เหตุที่ไม่อนุญาต เพราะคุณยังไม่มีอำนาจตามกฎหมายจะไปยึด แล้วมาตั้งกองเตรียมยึดได้อย่างไร แต่วันนี้มีคำสั่งมาตรา 44ออกมาส่วนที่มีคำถามว่าทำไมต้องรีบให้กรมบังคับคดีมีอำนาจก่อนที่จะมีการสั่งในเรื่องนี้ ซึ่งจะก่อนหรือหลังนั้นไม่เกี่ยว เพราะกรมบังคับคดีไม่มีส่วนในการจะไปบอกว่าผิด และไม่ได้ไปตีปลาหน้าไซ เขาต้องรู้ว่าเขามีอำนาจเพื่อเตรียมการและเตรียมการแล้วแบบมืออาชีพติดต่อกรมที่ดิน ธนาคาร เพื่อให้รู้ว่า ผู้ที่จะถูกยึดทรัพย์มีที่ดินตรงไหนเท่าไร มีเงินในธนาคารเท่าไร ถ้าจะต้องยึดจะได้ยึดได้ ถ้าไม่ต้องยึดก็หยุดไว้ ไม่
ต้องทำอะไร ขอย้ำอีกครั้งว่า ไม่ได้ใช้มาตรา 44 ไปยึด”นายวิษณุกล่าว