พายุจริยธรรมถล่ม’ลุงตู่”บริวาร-ว่านเครือ’ทำพิษ

หัวข้อข่าว: พายุจริยธรรมถล่ม’ลุงตู่”บริวาร-ว่านเครือ’ทำพิษ

ที่มา: ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

 

ในสภาวะที่คนในรัฐบาล และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำลังปลื้มปริ่มกับผลโพลหลายสำนักที่ให้คะแนนการทำงานที่ผ่านมาแบบสอบผ่าน แถมพ่วงกับติ่งคะแนนความต้องการให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดูแลปฏิรูปประเทศต่อไป แม้จะถูกมองว่าเป็น   “โพลอวยไส้แตก” ที่ทำขึ้นให้สถานะของรัฐบาลมั่นคงก็ตามท่ามกลางความกดดันจากภายนอกประเทศ ที่ไม่ยอมรับรัฐบาลเผด็จการทหาร เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้งเหมือนประเทศอารยะ แต่ก็ต้องยอมรับว่า “ความรู้สึก” ของคนในสังคมพึงพอใจกับสถานการณ์ที่นิ่งสงบ ไร้ความขัดแย้งจากการเผชิญหน้าของผู้มีความเห็นต่างที่ต่อสู้ทางความคิดด้วยความรุนแรงบนท้องถนน จะเหลือก็แค่อาการ “กลืนเลือด” ที่ก็ยอมอดทนกับสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ไม่ได้กินดีอยู่ดีจากการสภาวะแวดล้อมช่วงประชานิยมของพรรคการเมือง

 

“จุดแข็ง” ที่สุดของรัฐบาลก็คือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจในการแก้ไขปัญหาของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ใช้ยาแรงในการบริหารจัดการปัญหาด้วยการงัด ม.44 ออกมาจัดระเบียบหลายต่อหลายครั้งจนเห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเป็นรูปธรรม และด้วยความเป็น “บิ๊กตู่” ที่คนส่วนใหญ่ไว้วางใจ จึงรอดูและให้กำลังใจรัฐบาลเดินหน้าไปตามโรดแมป ช่วงเปลี่ยนผ่าน พร้อมคาดหวังในมาตรฐานที่สูงกว่า “วัตรปฏิบัติ” ของนักการเมืองที่ถูกตราหน้าว่า “โกง” แน่นอนว่า นายกฯ ที่มาจากรัฐประหาร ย่อมมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่จะจัดการปัญหาใดๆ ตามแต่ใจตนได้ แต่ในความเป็นจริง องค์ประกอบในการเข้ามาครั้งนี้มีบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และร่วมเข้ามาบริหารอำนาจในรูปแบบของ “คณะบุคคล”

 

ที่ล้วนแต่เป็นคนที่สำคัญ-คุ้นเคย-ใกล้ชิด ซึ่ง “บิ๊กตู่” คงหนีไม่พ้นคำว่า “ไว้ใจ” และ “เกรงใจ” ในระบบอุปถัมภ์แบบสังคมไทย

 

ส่งผลให้ หลายครั้งคนใน “แนวรบ” ที่มีแนวทางเดียวกัน ยังต้องตั้งคำถามกับเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน-ความไม่เหมาะสมในเรื่องแต่งตั้งโยกย้าย” ในการบริหารงานบางกระทรวง เพราะเริ่มมี “กลิ่นไม่ดี” ส่งสัญญาณออกมาว่า การตัดสินใจเชิงนโยบายเหล่านั้นไม่ได้ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง

 

ไม่นับที่ฝ่ายตรงข้ามนำมา “โจมตี” ย้อนตรรกะแบบ “ข้าชั่ว-เอ็งเลว” ผ่านโซเชียลมีเดียแบบรายวัน แล้วกลุ่มที่หนุน คสช.เองก็เริ่มออกมา “กระแอม-กระไอ” สะกิดเตือนกันเป็นระยะ!!

 

ส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์เองก็ต้องหันมาจัดการแก้ไขปัญหาภายในทีละเปลาะ เพราะคนที่ถูกตั้งคำถามก็ล้วนเป็นเพื่อน-พี่น้อง ใกล้ชิดกันทั้งนั้น แต่ถ้าหากปล่อยไว้ให้ปัญหาบานปลาย ก็จะทำให้รัฐบาลที่กำลังเดินหน้าบริหารประเทศสะดุดขาตัวเองได้ในอนาคต

 

จะเห็นได้ว่า ในช่วงหลังการปรับโครงสร้างการบริหารจัดการโดยการใช้ ม.44 เพื่อแต่งตั้ง เลื่อนลดปลดย้ายบางกระทรวง กล้าที่จะใช้วิธีการ “หัก” เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ส่งผลกระทบต่องาน และภาพลักษณ์ของรัฐบาล เลยไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจที่มีข่าวลือเรื่องการซื้อขายเก้าอี้ที่ไม่มีใบเสร็จ ก็เริ่มมีการพูดคุยกันวงในเพื่อวางแนวทางไปสู่การปฏิรูปองค์กรยอดภูเขาน้ำแข็งให้เกิดเป็นรูปธรรมในอนาคต

 

ที่สำคัญคือ การที่ “บิ๊กตู่” กล้าที่จะเข้าไปจัดระเบียบการโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล หลังจากที่ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เลือกแต่เด็กในคาถา เข้ามานั่งในเก้าอี้สำคัญ จนกลายเป็นเป้าให้ “บางมุ้ง” จับตามองถึงการสะสมกำลังเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ในอนาคต

 

จะเห็นได้ว่า จังหวะที่ “บิ๊กตู่” ก้าวเท้าออกมาจัดการปัญหาที่เริ่มกลายเป็น “ระเบิดเวลา” นั้น เป็นห้วงที่เข้ามาสู่การบริหารงานปีที่ 2 ของรัฐบาลแล้ว ซึ่งบางคนเริ่มเกิดอาการเพลิดเพลินไปกับอำนาจ-วาสนา-ยศถาบรรดาศักดิ์ และผลประโยชน์ที่เข้ามาทดสอบกิเลสของมนุษย์

 

นั่นอาจเป็นเพราะความเชื่อมั่นใน “ระบบคุณธรรมจริยธรรม” ที่ไม่ต้องใช้ระบบการคานอำนาจ-ถ่วงดุลเข้ามาช่วยกระตุกเตือน จึงทำให้ปรากฏการณ์ “หางโผล่” เกิดขึ้นมาใน คสช.ในที่สุด

 

แสดงให้เห็นว่าหลักการ “ประชาธิปไตย” ไม่ใช่สรณะที่แข็งแกร่งที่สุด ที่จะสั่นคลอนรัฐบาลเผด็จการทหารภายใต้ คสช.ให้สะเทือน หากเป็น “มโนสำนึก” อันเกี่ยวเนื่องกับคุณงามความดี ที่ไม่สามารถใส่ตาชั่งตวงวัดเป็นมาตรฐานความพอดีตามกรอบกฎหมาย

 

จริงอยู่ว่า เมื่อปรากฏคนนามสกุล “จันทร์โอชา” เป็นภาพข่าวอันเกิดจากความ “แปลกแปร่ง” ในการวางตัวของนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ในกิจกรรม “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา”ของสมาคมภริยาสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เลยไปถึง “ข่าวตรวจสอบ” การประมูลงานรับเหมาก่อสร้างหลายสัญญาในกองทัพภาคที่ 3 และหลายหน่วยงานในภาคเหนือ ย่อมต้องถูกโยงไปถึง “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

หนีไม่พ้นการถูกเปรียบเทียบกับ “ชินวัตร” อันเกี่ยวกับผลประโยชน์ทับซ้อน แม้จะมีรายละเอียดต่างกันก็ตาม!!

 

กระนั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธว่ามีข้อเท็จจริงบางประการที่หลีกเลี่ยงได้ยากว่า การประมูลงานดังกล่าว “สุ่มเสี่ยง” ในเรื่อง “อินไซด์” เพื่อเอาชนะคู่แข่งขัน และความเกรงใจที่จะนำมาซึ่งการได้งาน ซึ่งเป็นเรื่องที่สังคมทุกขั้วสีต่างก็มีคำถามอยู่ไม่น้อย

 

ในระหว่างที่ “บิ๊กตู่” กำลังไปปฏิบัติภารกิจร่วมประชุมประจำปีสหประชาชาติ ที่สหรัฐอเมริกา กระแสข่าวของน้องชายและ ภริยาต่างดังกระหึ่มอยู่ที่ประเทศไทย แม้ก่อนเดินทางไปเจ้าตัวจะฝากเตือนให้ “น้องชาย” เงียบเพื่อให้กระแสข่าวหายไปตามเวลา หรือแม้กระทั่ง “บิ๊กป้อม” เองก็ออกมาระบุว่า ทั้งคู่ไม่ใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง ตีตัวเสมอเบื้องสูงอย่างที่มีการวิจารณ์กัน การจุดกระแสออกมาก็เป็นแค่เรื่องการเมืองเท่านั้น

 

“เรื่องนี้จบไปแล้ว ส่วนเรื่องเอกสารการชี้แจงต่างๆ ขอให้ไปขอเอกสารที่กองทัพภาคที่ 3 แต่ตอนนี้ตนเห็นว่ามีการเปิดเผยกันไปหมดแล้ว เพราะทุกอย่างไม่ได้ทำแบบไม่มีหลักเกณฑ์ เนื่องจากต้องทำตามระเบียบวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ผ่านมาตนเจอ พล.อ.ปรีชา ก็บอกว่าไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับบริษัทของบุตรชาย เพราะเมื่อบุตรชายอยากทำบริษัทก็ให้ทำ

 

คิดว่าไม่สะเทือนรัฐบาล เพราะที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมามาก และทุกอย่างก็เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมหาศาล ตอนนี้ก็ยังไปทำหน้าที่ในที่ประชุมสหประชาชาติ ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกอย่างก็ดีหมด ทุกคนในรัฐบาลตั้งใจทำงานให้กับประชาชน พล.อ.ประยุทธ์เข้ามาเพื่อมาทำให้ส่วนร่วม ทุกคนต้องตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ทุกอย่างให้เต็มขีดความสามารถ” พล.อ.ประวิตร ระบุ

 

แต่ดูเหมือนว่าการแก้ไขสถานการณ์ด้วยการให้ข่าวเงียบเหมือน “พลุ” นั้น คงไม่ง่ายอย่างที่คิด อีกทั้งนายกฯ เองที่ต้องถูกตั้งคำถามถึงการ “ปล่อยปละละเลย” คนใกล้ตัว โดยเฉพาะญาติพี่น้องให้ทำในสิ่งที่สุ่มเสี่ยงกับการถูกโจมตีเช่นนั้น

 

ซึ่งก็อยู่ที่นายกฯ เองว่าจะ “ตอบคำถาม” ในเรื่องนี้อย่างไรให้เกิดความพึงพอใจกับ “คนที่สนับสนุนรัฐบาล” เพราะเอาเข้าจริง คนที่เสพข้อมูลข่าวสาร ทั้งข่าว และสื่อโซเชียลมีเดียเอง ก็พอจะแยกแยะได้ว่าเรื่องใดเป็นเรื่องของความเหมาะสม และเรื่องใดคือความถูกต้อง

 

ถ้าไปเหมารวมว่าเป็นเรื่องการเมือง ที่หวังจะโจมตีเพราะนามสกุล “จันทร์โอชา” ก็คงไม่ได้เป็นเช่นนั้น และจะกลายเป็นประเด็นโจมตีต่อเนื่องว่าต้องการ “ปกป้อง” คนในตระกูล ไม่ต่างจากตระกูลนักการเมืองที่เคยโดนคดีโกง ทุจริต ก่อนหน้านี้

 

จึงเป็นเรื่องที่นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช.ที่จะนำพาประเทศไปสู่การปฏิรูป ประกาศเจตนารมณ์ล้างโกง ปราบทุจริต คงต้องว่าไปตามข้อเท็จจริง และปล่อยอิสระให้กลไกตรวจสอบได้เข้าไปหาข้อเท็จจริง ไม่ปฏิบัติสองมาตรฐานกับวงศ์วานว่านเครือ “จันทร์โอชา” ให้เป็นขี้ปากลิ่วล้อ “ทักษิณ”

 

สมกับคะแนนนิยมผ่าน “โพล” ที่สะท้อนความพึงพอใจในตัว พล.อ.ประยุทธ์ ที่เข้ามาแก้ไขปัญหาของประเทศตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา!!!.

 

“แสดงให้เห็นว่าหลักการประชาธิปไตยไม่ใช่สรณะที่แข็งแกร่งที่สุด  ที่จะสั่นคลอนรัฐบาลเผด็จการทหารภายใต้ คสช. ให้สะเทือน  หากเป็นมโนสำนึกอันเกี่ยวเน องกับ คุณงาม ความดี ที่ไม่สามารถใส่ตาชั่งตวงวัดเป็นมาตรฐานความพอดีตามกรอบกฎหมาย”