หัวข้อข่าว: ‘รสนา’ชี้ผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้บ้านทหารตั้งหจก. ‘วิษณุ’แถเรื่องภายใน’กห.’
ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559
ผู้จัดการรายวัน360 – “บิ๊กตู่” เก็บตัวเงียบบนตึกไทยฯทั้งวัน “บิ๊กติ๊ก-บิ๊กหมู” ทำพิธีอำลากองทัพ “วิษณุ” อึกอักปมบ้านพัก ทหารตั้ง หจก. โบ้ยถาม ก.กลาโหม ตีทึมไม่รู้ว่า “ทำธุรกิจ” ในระเบียบ กห.แปลว่าอะไร “รสนา” จวก “เนติบริกร” แถข้างๆ คูๆ ชี้ใช้บ้านพักทหารตั้งบริษัท ไม่ใช่แค่เรื่องความเหมาะสม แต่เป็น ผลประโยชน์ทับซ้อน
วานนี้ (29 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เข้าปฏิบัติงานที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ตลอดทั้งวัน โดยไม่มีภารกิจข้างนอกแต่ อย่างใด ทั้งนี้นายกฯได้ใช้เวลาหารือและเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 (Asia Cooperation Dialogue – ACD Summit) ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพระหว่างวันที่ 8-10 ต.ค.นี้ โดย นายกฯ จะเข้าร่วมประชุมในวันที่ 9-10 ต.ค.
“บิ๊กติ๊ก-บิ๊กหมู” อำลาตำแหน่ง
อีกด้าน ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุล- จอมเกล้า จ.นครนายก พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเทิดเกียรติและอำลาชีวิตราชการ นายทหารชั้นนายพลที่เกษียณอายุราชการ ประจำปี 2559 พร้อมด้วย พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) และนายทหาร ที่เกษียณอายุราชการในปีนี้ รวมจำนวน 387 นาย โดยในช่วงเช้ามีพิธีถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พิธีเทิดเกียรติ มอบกระบี่ และการสวนสนามเทิดเกียรติจากกองพันผสม จำนวน 16 กองพัน ประกอบด้วยกำลังพล และยุทโธปกรณ์จากหน่วยต่างๆ ทั้งนี้ พล.อ. เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะว่าที่ ผบ.ทบ.ได้เป็นตัวแทนในการกล่าวสดุดี
ขณะที่ พล.อ.ปรีชา กล่าวอำลาช่วงหนึ่งว่า แม้จะถึงเวลาเกษียณอายุราชการแล้ว พวกเรายืนยันว่าพร้อมอุทิศตนสนับสนุนการดำเนินงานของกองทัพเมื่อมีโอกาส และขอฝากกำลังพลที่ยังรับราชการอยู่ ให้ดูแลรักษาเกียรติยศของทหารอย่างเต็มความสามารถ คิดถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรักและสามัคคีเพื่อประโยชน์ของประเทศ รวมทั้งพัฒนากองทัพ ให้เจริญก้าวหน้าในฐานะกำลังหลักด้านความมั่นคงสืบไป
“วิษณุ” โยนถาม กห.ขัดระเบียบหรือไม่
ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีข้อมูลยืนยันว่าบุตรชาย พล.อ.ปรีชา ใช้บ้านพักในค่ายทหารจดทะเบียนตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งอาจเป็นการกระทำผิดกฎระเบียบกระทรวงกลาโหมว่า ตามระเบียบสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2555 ระบุว่าไม่ให้นำเอาบ้านพัก ไปใช้ในทางธุรกิจ ซึ่งคำนี้แปลว่าอะไรตนเองไม่ทราบ ต้องไปถามกระทรวงกลาโหมว่าผิดหรือไม่ แล้วจะมีบทลงโทษอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่เป็นเรื่องภายในกระทรวง ซึ่งเป็นการตรวจสอบทางวินัย แต่เนื่องจากลูกชายของ พล.อ.ปรีชา ไม่ได้เป็นข้าราชการ จึงไม่สามารถลงโทษทางวินัยได้ ส่วนจะสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้หรือไม่ เนื่องจากพล.อ.ปรีชา ได้เกษียณอายุราชการแล้ว ตนไม่แน่ใจว่าสามารถตรวจสอบได้หรือไม่
“อย่างนี้เป็นความผิดหรือไม่ ผมไม่ทราบ เพราะไม่รู้เจตนารมณ์ของเขาว่าเอาบ้านไปทำธุรกิจแปลว่าอะไร ส่วนถ้าทำผิดแล้วจะสามารถลงโทษอะไรได้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน” นายวิษณุ กล่าว
“รสนา” สับ “เนติบริกร” แถข้างๆคูๆ
ด้าน น.ส.รสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านพลังงาน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “ผลประโยชน์ทับซ้อนคือต้นทางของการคอร์รัปชัน” ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกรณีบุตรชาย พล.อ.ปรีชา ใช้บ้านพักในค่ายทหารตั้งบริษัทรับประมูลงานของกองทัพ และนายวิษณุให้ความเห็นว่า สามารถทำได้ เพราะบ้านพักข้าราชการเหมือนบ้านเช่า ส่วนความเหมาะสมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โดย น.ส.รสนาได้ให้ความเห็นตอนหนึ่งว่า Rule by Law คือ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ เอาไว้บังคับคนอื่น ไม่บังคับกับพวกตัวเอง Rule of Law คือ หลักนิติธรรมที่ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ฟังนักกฎหมายระดับเนติบริกรอธิบายเรื่องบ้านพักข้าราชการไปเทียบกับบ้านเช่า ว่าไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการนำไปจดทะเบียนบริษัทแล้ว ทำให้เข้าใจความหมายของ Rule by Law ชัดเจนขึ้น รวมทั้งเข้าใจในเรื่องของ Conflict of Interest (COI) อันเป็น “การขัดกันแห่งผลประโยชน์ระหว่างส่วนตัวกับส่วนรวม” หรือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” นั้น หมายถึงอะไร โดยไม่ต้องยกตัวบทกฎหมายอะไรมากล่าวอ้างเพื่อรับรองความชอบธรรมให้กับตัวเอง และพวกพ้องของตัวเอง
“จำได้ไหม ลุงๆ ยังจำได้ไหม ที่เคยเคร่งครัดออกระเบียบไม่ให้เอาลูกหลานญาติ พี่น้องที่มีนามสกุลเดียวกันมาเป็นผู้ปฏิบัติงาน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ที่ปรึกษาประจำตัวของบรรดา สนช.และ สปช.รวมทั้งในชั้นกรรมาธิการด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และกฎเหล็กนี้ก็ยังนำมาใช้กับ สสส.ที่ห้ามให้ทุนกับองค์กรที่มีบอร์ดของ สสส.นั่งเป็นกรรมการ (ทั้งที่ระเบียบอนุญาตให้ทำได้ แต่ คสช.ไม่ให้ทำ) มีการตรวจสอบไล่บี้กันอย่าง เอาเป็นเอาตาย ว่ามีการคอร์รัปชันหรือไม่ ถึงขนาดแช่แข็งเงินกองทุนจนหลายองค์กรต้อง ปิดตัวไป ในสังคมอารยะที่มีธรรมาภิบาล (Good Governance) นั้น ย่อมถือว่า COI ดังกล่าว เป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างร้ายแรง ไม่ใช่แค่ “ความไม่เหมาะสม” ดังที่บรรดาเนติบริกรชอบอ้างกันอย่างข้างๆ คูๆ” น.ส.รสนา ระบุ
ศาลฎีกาฯ สั่งยึดบ้าน 16 ล้าน “เฮียตือ”
วันเดียวกัน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ ได้มีการอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.74/2558 ที่อัยการสูงสุด (อสส.) ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ผู้ถูกกล่าวหาว่า มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 16 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน กรณีสืบเนื่องจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 28 พ.ค.58 ชี้มูลความผิด จากการไต่สวนกรณีการร่ำรวยผิดปกติของ นายสมศักดิ์ ซึ่งจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริง ที่ไม่แสดงบ้านพักเลขที่ 5/5 ต.ไผ่จำศีล อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ที่ปลูกสร้าง เมื่อปี 2541 ช่วงที่นายสมศักดิ์ เป็น รมช.ศึกษาธิการ และก่อสร้างจนแล้วเสร็จ เมื่อปี 2544 ในช่วงที่นายสมศักดิ์เป็น รมว.ศึกษาธิการ โดยใช้เงินค่าก่อสร้าง 16 ล้านบาท
โดยองค์คณะผู้พิพากษาฯ ได้มีมติเอกฉันท์พิพากษาให้บ้านพักหลังดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
ด้าน นายสมศักดิ์ ที่เดินทางมาฟังคำพิพากษา กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลที่เป็นไปตามกติกาบ้านเมือง ซึ่งตนเป็นนักการเมืองต้องเคารพกติกา ส่วนคำวินิจฉัยของศาลผูกพันอนาคตทางการเมืองหรือไม่นั้น ก็ต้องเป็นไปตามกติกา ไม่มีปัญหาอะไร.