หัวข้อข่าว: รัฐบาลต้องปฏิรูปวิธีคิดแก้ปัญหาชาวนาอย่างยั่งยืน
ที่มา: คอลัมน์ ผ่าประเด็นร้อน, แนวหน้า ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559 โดย ทีมข่าวการเมือง
ปัญหาราคาข้าวตกต่ำถือเป็นจุดบอดของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถสร้างความสุขให้ชาวนาทั่วประเทศ ได้ ซ้ำล่าสุดราคาข้าวหอมมะลิในพื้นที่ภาคอีสานตกต่ำ เหลือเพียงกก.ละ 5-6 บาท จากราคาเมื่อปีที่แล้วกก.ละ 9-12 บาท โดยสาเหตุเกิดจากชาวนาถูกโรงสีกดราคา รับซื้อโดยอ้างว่าข้าวมีความชื้นสูง
ในด้านหนึ่งก็น่าเห็นใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้อง รับเคราะห์แบกรับภาระของเสียเน่าเฟะที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งไว้จากโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งนอกจากหนี้ก้อนมหึมากว่า 5 แสนล้านบาท ที่ทิ้งไว้ให้ลูกหลานต้องชดใช้ขณะที่คนแค่หยิบมือร่ำรวยมหาศาลจากการโกงชาติปล้นแผ่นดินแล้ว ยังทิ้งข้าวล้นประเทศปริมาณถึง 21 ล้านตัน ที่ขาย ไม่ออกเพราะรัฐรับซื้อในราคาจำนำสูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัว ซึ่งผิดธรรมชาติ ซ้ำยังมีข้าวเน่าเสื่อมคุณภาพและข้าวปลอมปนจำนวนมากจากการทุจริตซึ่งนั่นหมายถึงมูลค่าความล่มจมของชาติที่เพิ่มขึ้น
ข้าวล้นประเทศปริมาณมหาศาลที่ค้างสต๊อกอยู่ในโกดังคือสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำเพราะของเก่าก็ยังขายไม่ได้ ยังมีข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ ทยอยออกมาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ข้าวล้นประเทศมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าราคาข้าวดิ่งลงแน่นอน
ส่วนปัญหาเรื่องชาวนาถูกโรงสีกดราคารับซื้อเป็นมหากาพย์ที่เกิดขึ้นซ้ำซากมานานแสนนานแล้วและจะยังคงเกิดขึ้นต่อไป โดยรัฐไม่มีทางจับได้ไล่ทันเล่ห์โรงสี ตราบใด ที่รัฐบาลไม่ปฏิรูปวิธีคิดการช่วยเหลือชาวนาอย่างยั่งยืนเพื่อให้มีอำนาจต่อรองและพึ่งตัวเองได้ตามแนวปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่ทรงแจกเบ็ดให้เกษตรกรแทนการแจกปลาอย่างที่เหล่านักการเมืองชอบ ทำมาตลอด
ที่ผ่านมาเหล่านักการเมืองอาศัยโครงการประชานิยมอย่างโครงการรับจำนำข้าวเพื่อเป็นช่องทางทำมาหากิน โกงชาติปล้นแผ่นดินมหาศาล ขณะเดียวกันก็จับชาวนาเป็นตัวประกันซ้ำ อ้างบุญคุณโกยคะแนนคะแนนนิยมจากชาวนาอีกต่างหาก ทั้งๆ ที่โครงการ รับจำนำข้าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าล้มเหลว ทำให้ระบบข้าวของประเทศพังทั้งระบบ เพราะไม่อย่างนั้นชาวนาคงไม่เครียดหนัก ฆ่าตัวตายกว่า 10 คน ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะรัฐบาลถังแตกไม่มีเงินจ่ายค่าจำนำข้าวให้ชาวนานานข้ามปี
แม้รัฐบาลยุคปฏิรูปชุดนี้จะหลีกเลี่ยง แนวทางประชานิยมตามที่เหล่านักการเมืองชอบทำกัน แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลมัวแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าคลายทุกข์ให้ชาวนาชั่วครั้งชั่วคราวด้วยการทุ่มงบประมาณแจกชาวนาเป็นคราวๆ ไป ซึ่งวิธีการแบบนี้ถมเท่าไหร่ก็ไม่เต็ม และแก้ปัญหาไม่ได้ ซึ่งรัฐบาลจะต้องทุ่มเงินแจกไปตลอด ขณะที่ชาวนาก็ตั้งหน้าตั้งตารอเงินจากรัฐซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดและยั่งยืน
เวลา 3 ปีหลังจากที่ คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศซึ่งน่าจะเป็นเวลามากพอที่จะแก้ปัญหาชาวนาได้สำเร็จลุล่วงและยั่งยืนมากกว่าการที่เอาแต่แก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าอย่างที่เป็นอยู่ขณะนี้
แนวคิดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ที่แจกเบ็ดแทนแจกปลาให้ชาวนาซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนนั้นมุ่งหมายที่จะทำให้ชาวนาพึ่งตัวเองได้ในระยะยาว ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ชาวนามีอำนาจต่อรองไม่ต้องไปพึ่งพาโรงสีหรือ นายทุนกลุ่มไหนก็คือ ตัวอย่างที่องค์ภัทรมหาราชผู้ประเสริฐได้เคยทำตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในโครงการพระราชดำริหลายโครงการนั่นคือ การจัดตั้งระบบสหกรณ์ชาวนาในชุมชน โดยภาครัฐคอยให้การช่วยเหลือสนับสนุนชาวนาไม่ว่าจะเป็นการจัดหาที่ดินให้ชาวนารอยย่อยที่ไม่มีที่ดินของตัวเองรวมตัวกันเช่าในราคาถูก การให้ผู้เชี่ยวชาญมาให้องค์ความรู้แก่ชาวนา การแจกหรือขายเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงแก่ชาวนาในราคาถูก การจัดหาเครื่องมือการผลิต อาทิ รถหว่านไถนาประจำสหกรณ์ในชุมชนหรือให้เช่าในราคาถูก การลดต้นทุนการผลิตของชาวนาด้วยการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ การจัดตั้งโรงสีสหกรณ์ชุมชนเพื่อให้ชาวนาแปรรูปข้าวเปลือกเป็นข้าวสารและบรรจุถุงเพื่อเก็บข้าวไว้ได้นาน ซึ่งจะทำให้ ชาวนาไม่ต้องพึ่งโรงสีอีกต่อไป อันจะทำให้ชาวนากำหนดราคาข้าวได้ เองไม่ถูกกดราคา ไปจนถึงปลายทางนั่นคือรัฐช่วยเหลือจัดหาตลาดให้ ชาวนา โดยในระยะแรกรัฐต้องส่ง ผู้เชี่ยวชาญมาคอยให้คำแนะนำในเรื่อง การบริหารจัดการจนกระทั่งสหกรณ์ ชาวนาชุมชนเข้มแข็งพึ่งตัวเองได้ ซึ่งเมื่อนั้นชาวนาก็จะยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองและมีความสุขอย่างยั่งยืน
เพราะฉะนั้นยังไม่สายเกินไป ที่รัฐบาลโดยเฉพาะ พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ต้องหันมาปฏิรูปแนวทางช่วยเหลือชาวนาอย่างยั่งยืนให้เป็นจริงเสียที แทนที่จะใช้งบประมาณแจกชาวนาอันเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแบบไม่รู้จบ และที่สำคัญกลายเป็นจุดบอดที่ขบวนการฝ่ายตรงข้ามคสช.นำวิกฤติราคาข้าวตกต่ำไป ขยายผลชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลนอก วีถีทางประชาธิปไตยล้มเหลวยิ่งกว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อการปฏิรูปประเทศและ ปูทางให้ธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมมีโอกาสกลับมาทำร้ายชาติบ้านเมืองอีกกลายเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซากซึ่งผู้ที่รับเคราะห์อย่างแท้จริงคือชาติและประชาชน