หัวข้อข่าว: ศาลแพ่งสั่ง’ศุภชัย-พวก‘ชดใช้สหกรณ์3.8พันล้าน
ที่มา: บ้านเมือง ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ศาลแพ่งสั่ง “ศุภชัย ศรีศุภอักษร” กับพวก ชดใช้เงินคืนสหกรณ์คลองจั่นฯ กว่า 3.8 พันล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย ร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ฟ้องเมื่อ 1 พ.ค.57 แฉพฤติกรรมโคตรแสบ รวมหัวกันปล้นเงิน สหกรณ์ฯมาถลุงจนเกลี้ยง นำมาสู่การฟ้องร้องคดีเพื่อเรียกเงินคืน โดยก่อนหน้านี้อัยการยื่นฟ้องคดีเพื่อตามยึดทรัพย์ “ศุภชัย” กับพวกแล้ว 2 คดีรวมเงินประมาณ1,670.7ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่ศาลแพ่ง ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดี ที่สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น เป็นจำเลยที่ 1 น.ส.ศรัญยา มานหมัด อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฯ เป็นจำเลยที่ 2 นายลภัส โสมคำ อดีตเลขานุการ สหกรณ์ฯ จำเลยที่ 3 และ นายกฤษดา มีบุญมาก อดีตหัวหน้าฝ่ายสินเชื่อ สหกรณ์ฯ จำเลยที่ 4 กับพวก รวม 18 คน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ช่วงระหว่าง พ.ศ.2552-พ.ศ.2555 จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันกระทำละเมิดต่อสหกรณ์ฯ โดยร่วมกันสั่งจ่ายเช็คถอนเงินของสหกรณ์ฯโจทก์เป็นเงิน 10,481,166,966.01 บาท และร่วมกันเอาเงินฝากของลูกค้าที่นำมาฝากกับสหกรณ์ฯโจทก์เป็นเงิน 1,900,000,000 บาท และยังร่วมกันปล่อยสินเชื่อให้แก่สมาชิกโดยทราบว่า สมาชิกดังกล่าว ไม่มีการถือหุ้นตามข้อบังคับ และไม่มีหลักประกันในการกู้ยืมเป็นเงินอีก 11,000,000,000 บาท กับร่วมกันปล่อยปละละเลย ให้นายศุภชัยจำเลยที่ 1 กู้เงินสหกรณ์ฯ โจทก์ ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งประธานในรูปแบบเงินยืมทดรองซึ่งไม่มีระเบียบรองรับเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 12,000,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 5-18 รับรู้ถึงการกระทำของจำเลยที่ 1-4 และรับเงินหรือผลประโยชน์มาจากจำเลยที่ 1-4 โดยรู้ว่ามีที่มาไม่สุจริต โดยสหกรณ์ฯโจทก์ ยื่นฟ้องขอให้จำเลยที่ 1- 18 ต้องร่วมกันชำระเงินคืน 3,811,605,926.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 9-10, จำเลยที่ 14-16 รวม 5 คน ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความร่วมกันคืนเงินแก่ สหกรณ์ฯ โจทก์จำนวน 321,400,000 บาท
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานของ สหกรณ์ฯ โจทก์ นำสืบมามีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า นาย ศุภชัย, น.ส.ศรัญยา, นายลภัส, นายกฤษดา จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันทุจริต โดยนายศุภชัย จำเลยที่ 1 ฉวยโอกาสขณะเป็นประธานคณะกรรมการดำเนินการ น.ส.ศรัญยา อดีตรองผู้จัดการสหกรณ์ฯ, นายลภัส อดีตเลขานุการสหกรณ์ และนายกฤษฎา หัวหน้าฝ่ายสินเชื่อสหกรณ์ฯ จำเลยที่ 2-4 ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาเงินของสหกรณ์ฯโจทก์ ร่วมกันสั่งจ่ายเช็คถอนเงินสหกรณ์ฯ โจทก์ ร่วมกันเบียดบังเอาเงินฝากที่ลูกค้านำมาฝากกับสหกรณ์ ร่วมกันรู้เห็นเป็นใจปล่อยสินเชื่อให้สมาชิกสมทบ ทั้งที่รู้ว่าไม่มีการถือหุ้นตามข้อบังคับ และไม่มีหลักประกันการกู้ยืม อีกทั้งยังร่วมกันให้ นายศุภชัย จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งประธาน สหกรณ์หลายครั้งโดยไม่มีระเบียบรองรับ
ดังนั้น จำเลยที่ 1-4 ต้องร่วมกันรับผิดคืนเงิน ให้สหกรณ์ฯ โจทก์ จึงพิพากษาให้ นายศุภชัย, น.ส.ศรัญยา, นายลภัส, นายกฤษดา จำเลยที่ 1-4 ชำระเงินจำนวน 3,811,605,926.18 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 จนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 5-8 จำเลยที่ 11-13 รวม 7 คน เป็นกลุ่มคนสนิทได้รับเงินและทรัพย์สินมาจากจำเลยที่ 1-4 โดยรู้ว่าได้มาโดยไม่สุจริต จึงต้องร่วมรับผิดตามจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยแต่ละคนได้มาจากจำเลยที่ 1-4
จึงพิพากษาให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 2,795,379 บาท จำเลยที่ 6 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 2,461,875บาท จำเลยที่ 7 ร่วมรับผิดในเงินจำนวน 46,853,550 บาท และตามราคาประเมินที่ดิน จำเลยที่ 8 ร่วมรับผิดเงินจำนวน 1,456,486.33 บาท จำเลยที่ 11 ร่วมรับผิดเงินจำนวน 960 ล้านบาท โดยจำเลยทั้งหมดจะต้องรับผิดตามจำนวนเงินดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินต้น นับตั้งแต่วันฟ้อง วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ส่วนจำเลยที่ 9,10,14,15,16 ให้รับผิดตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ตกลงกันคือ คืนเงินจำนวน 321,400,000 บาท ให้กับสหกรณ์ฯโจทก์ สำหรับจำเลยที่ 17-18 พยานหลักฐานโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่ามีส่วนรับรู้ถึงการกระทำและรับเงินจากจำเลยที่ 1-4 จำเลยที่ 17-18 จึงไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ พิพากษาให้ยกฟ้อง
มีรายงานว่า คดีแพ่งที่อ่านคำพิพากษาในวันนี้ จำเลยในคดีไม่จำเป็นต้องเดินทางมาศาล รวมถึงนายศุภชัยที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ในชั้นนี้ถือเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยยังมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ และในส่วนของนายศุภชัย ยังมีคดีที่อัยการฟ้องขอให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดิน อีก 2 สำนวน คือ 1.คดีหมายเลขดำ ฟ.173/2559 ที่อัยการยื่นเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัยกับพวก ตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 85,769,438.25 บาท ศาลแพ่งนัดไต่สวนในวันที่ 7 ธันวาคม เวลา 09.00 น. และคดีหมายเลขดำ ฟ.208/2559 ที่อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายศุภชัยกับพวก ตกเป็นของแผ่นดิน จากที่มีการกระทำความผิดมูลฐานเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน รวมทุนทรัพย์ทั้งสิ้น 1,585,000,000 บาท โดยศาลแพ่งนัดไต่สวนในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 09.00 น. ล่าสุดนายศุภชัย และ น.ส.ศรัญยา อดีตรองผู้จัดการ สหกรณ์ฯ ตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันฟอกเงินอีกคดี ร่วมกับหลวงพ่อธัมมชโย และลูกศิษย์คนสนิทรวม 4 คน ซึ่งอัยการมีคำสั่งฟ้องแล้ว และนัดยื่นฟ้องต่อศาลอาญาในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้