หัวข้อข่าว: เมินครหาหนุนขสมก.เซ็นซื้อเมล์NGVวงเงิน3พันล.
ที่มา: ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559
กรุงเทพฯ * รัฐบาลหนุน “ขสมก.” ลงนามสัญญาจัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 3,389 ล้านบาท กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป เพื่อให้รับมอบรถภายในธันวา คมปีนี้ ท่ามกลางข้อครหาเรื่องธรรมาภิบาลหลังบริษัทนี้เคยถูกศาลพิพากษาหลบเลี่ยงภาษี
วันเสาร์ที่ผ่านมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมน ตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้สนับสนุนให้องค์การ ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ลงนามในสัญญาจัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 3,389 ล้านบาท กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ได้สำเร็จ หลังจากที่ค้างคามานานนับ ตั้งแต่ปี 2545 โดย ขสมก.จะนำเข้ารถโดย สารทั้งคัน และรับมอบรถทั้งหมดภายในธัน วาคม 2559
พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า ที่ผ่านมา ขสมก.ไม่สามารถจัดซื้อหรือเช่ารถโดยสารใหม่ได้ เพราะมีข้อครหาว่าราคาที่ฝ่ายการเมืองตั้งไว้สูงเกินจริง กระบวนการไม่โปร่ง ใส เช่น แผนจัดซื้อรถเมล์ 6,000 คัน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท เมื่อปี 2548 เรื่อยมาถึงแผนเช่ารถเมล์ 4,000 คัน มูลค่า 69,000 ล้านบาท ในปี 2552 แต่วันนี้รัฐบาลนำมาดำเนินการให้ถูกต้อง เพื่อให้พี่น้องประชา ชนได้ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะที่มีคุณ ภาพอย่างแท้จริง เป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ทุกคน เริ่มตั้งแต่ ม.ค.60 เป็นต้นไป
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า การจัดซื้อรถใหม่ในครั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนผู้ใช้บริการได้รับความสะดวกและปลอดภัยมากขึ้น โดยผู้พิการและผู้สูงอายุสามารถนำรถเข็นขึ้นลงรถได้ เพราะมีชานยื่นออกมารับเข้าสู่ตัวรถ มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั้งภายในรถ ด้านหน้า และด้านหลัง รวม 5 ตัว มีระบบประตูอัตโนมัติที่จะไม่ปิดหากมีคนยืนขวางประตู เพื่อให้เกิดความปลอดภัย
นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบ GPS ที่สามารถทราบตำแหน่งของรถ ความเร็วของรถ พฤติกรรมการขับขี่ โดยจะเชื่อมโยงกับป้ายรถเมล์อัจฉริยะ 20 จุดสำคัญใน กทม. เพื่อให้ประชาชนทราบว่ามีรถเมล์สายใดผ่าน และใช้เวลาเดินทางถึงแต่ละจุดภายในกี่นาที คาดว่าจะใช้งานได้ เม.ย.60 รวมทั้งจะมีบริการอินเทอร์เน็ตฟรี และเตรียมติดตั้งระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ รองรับการใช้บริการร่วมกับขนส่งสาธารณะอื่นในอนาคต
“ท่านนายกฯ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยได้รับประโยชน์โดยตรง และยังจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนส่วนหนึ่งหันไปใช้บริการรถโดยสารสาธารณะเพิ่มมากขึ้น เพราะมีความสะดวกสบาย พร้อมทั้งกำชับให้กระทรวงคมนาคม กำกับดูแลการดำเนินการทุกขั้นตอนให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุด และควบคุมให้แต่ละขั้นตอนเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ” พล.ท.สรรเสริญกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ซึ่งชนะการประมูล จัดซื้อรถโดยสารเอ็นจีวี จำนวน 489 คัน วงเงิน 3,389 ล้านบาทนั้น เป็น บริษัทเดียวกันกับที่ศาลภาษีอากร กลางพิพากษาว่ามีพฤติการณ์ที่จะหลีกเลี่ยงอากรขาเข้าตาม พ.ร.บ.ศุลกากร โดยสำแดงราคารถยนต์โดยสารปรับอากาศเป็นเท็จ และถูกสั่งให้ชำระค่าภาษีอากรพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเป็นจำนวนเงินกว่า 230 ล้านบาท เมื่อวันที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา
ต่อมาวันที่ 28 กันยายน นาย กริน ชยสิทธิ์ ตัวแทนกิจการร่วมค้า เจวีซีซี ได้เข้ายื่นหนังสือที่ต่อศูนย์บริการประชาชน เพื่อคัดค้านการทำสัญญาซื้อขายรถยนต์โดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (NGV) ระหว่างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กับ บริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด จำนวน 489 คัน วงเงินกว่า 3,000 ล้านบาท โดยมีนายสุรชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผอ.ขสมก. ในฐานะเจ้าของเรื่อง โดยมีนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมพูดคุยทำความเข้าใจ
ทั้งนี้ นายกรินกล่าวว่า สัญญาดังกล่าวมีประเด็นส่อไปในทางที่ไม่โปร่งใส เนื่องจากพบว่าการแสดงรายรับรายจ่ายของบริษัท เบสท์รินฯ ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง พบว่าไม่มีการรายงานเรื่องที่ทางบริษัทถูกดำเนินคดีในเรื่องของภาษี ในสัญญาคุณธรรม ประเด็นนี้ย่อมส่งผลให้ขาดคุณสมบัติไม่สามารถเข้าร่วมประมูลโครงการจัดซื้อรถโดยสารกับ ขสมก.
อย่างไรก็ตาม นายสุรชัยชี้แจงว่า มีการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าประมูลครบถ้วน มีการทำประชาพิ จารณ์ แต่เมื่อทางผู้ร้องทำเรื่องร้องเรียนมา ทาง ขสมก.ได้หยุดอนุมัติ และทำหนังสือสอบถามไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ใน 2 ประเด็น ซึ่งได้รับคำตอบว่า การดำเนินการของ ขสมก.ที่ได้หารือการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ประสงค์เสนอราคาผ่านเว็บไซต์ ป.ป.ช.ถูกต้องแล้ว และสามารถทำนิติกรรมกับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ปได้ รวมถึงได้ทำตามคำแนะนำของ ป.ป.ช.ทั้งหมด และเมื่อมีการไปร้องต่อกรมบัญชีกลาง ศาลปกครองกลาง ก็ได้หยุดดำเนินการรอการพิจารณา รอจนมีการตัดสินออกมา
วันดังกล่าว หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์ว่า จะให้นายจิรชัย มูลทองโร่ย รวบรวมข้อมูลของทั้ง 2 ฝ่ายไปเทียบเทียบเพื่อหาข้อตกลงตกผลึกอย่างชัด เพื่อหาคำตอบให้เกิดความกระจ่าง และให้นำกลับมารายงาน.