หัวข้อข่าว: การเมืองเรื่องข้าว
ที่มา: คอลัมน์ โลกนี้มีรากหญ้า, มติชน ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 โดย ภาคภูมิ ป้องภัย
แล้วอะไรคือวิธีการแก้ไขปัญหาราคาข้าวได้ดีที่สุดและยั่งยืน ในเมื่อผ่านมาหลายสิบรัฐบาลแล้วยังหากันไม่พบ ใครค้นคิดวิธีไหนออกมา ดูมันผิดฝาผิดตัวไปหมด
เช่นที่พรรคเพื่อไทยกำลังโหมโจมตีมาตรการชะลอการขายข้าวชาวนาของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา (รับจำนำที่ยุ้งฉางราคา 13,000 บาทต่อตัน) ว่าในหลักการไม่ได้แตกต่างกับโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด (15,000 บาทต่อตัน) ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลยแม้แต่น้อย
ตรงจุดนี้ บรรดาแกนนำพรรคเพื่อไทยคาดการณ์ไปไกลถึงผลจากมาตรการของรัฐบาล บิ๊กตู่นั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายตามมาในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะในที่สุดรัฐบาลต้องแบกรับภาระด้านงบประมาณหลายหมื่นล้านบาทไปกับมาตรการดังกล่าว
ถึงตอนนั้น บางคนในพรรคเพื่อไทยคิดว่า นอกจากพวกเขาจะนำมาใช้เป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองได้แล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นข้อเท็จจริงและข้อมูลเชิงเปรียบเทียบประกอบการต่อสู้คดีช่วยยิ่งลักษณ์ในชั้นศาลปกครอง และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างน้อยอาจช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้
แน่นอนว่า ในทางการเมือง พรรคเพื่อไทยหยิบฉวยความล้มเหลวจากมาตรการของ รัฐบาลบิ๊กตู่ไปใช้หาเสียงกับชาวนา และโจมตีรัฐบาลได้เต็มเหนี่ยว
แต่ในทางกฎหมาย เอาเข้าจริงแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่สามารถนำเรื่องราวในมาตรการชะลอการขายข้าวชาวนาไปใช้ประกอบการสู้คดีได้แม้แต่น้อย เนื่องจากมันเป็นกระบวนการการบริหารราชการแผ่นดินต่างกรรมต่างวาระ
กล่าวสำหรับคดีอาญาของยิ่งลักษณ์ในศาลฎีกาฯ ข้อหากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 123/1 กรณีปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และคดีถูกเรียกค่าเสียหาย 35,717 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่นั้น ทั้งสองคดีเกิดขึ้นหลังจากทุกกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินเสร็จสิ้นแล้ว มีผลเสียหายมากมายมหาศาลชัดเจนแล้ว มีการสอบสวนตามขั้นตอนต่างๆ ตามลำดับ
ในขณะที่มาตรการแก้ไขปัญหาราคาข้าวของรัฐบาลบิ๊กตู่นั้นเพิ่งเริ่มตั้งไข่ ยังไม่รู้ผลการดำเนินงาน ไม่รู้ผลดีผลลบที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่าความเสียหายต่อรัฐเป็นเท่าไหร่ แล้วยังสรุปไม่ได้ว่าใครต้องรับผิดชอบ ฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะเอาเรื่องนี้ไปใช้ประโยชน์ในทางคดีความในชั้นต่างๆ ได้
แน่นอน อาจมีพวกหัวหมอหยิบยกบางประเด็นไปเอ่ยอ้างในศาลเพื่อกระแทกแดกดันขั้วตรงข้าม หรือให้เป็นข่าวออกมา อย่าว่าแต่จะเอามาประกอบสำนวนคดีเลย องค์คณะในศาลท่านคงไม่หยิบเอามาเป็นอารมณ์ แต่ใครขืนเพ้อเจ้อมากไป ระวังข้อหาละเมิดอำนาจศาลก็แล้วกัน
พรรคเพื่อไทยทำได้อย่างเดียวคือ รอให้ทุกขั้นตอนของมาตรการรัฐบาลบิ๊กตู่จบสิ้นลง ถ้าพบความเสียหายด้านการคลัง มีผลขาดทุนมากมาย พบความบกพร่องล้มเหลวในขั้นตอนต่างๆ อันเกิดจากการ ทุจริตคอร์รัปชั่นเช่นเดียวกับโครงการจำนำข้าว ฯลฯ
จากนั้นภาวนาให้ตัวเองได้กลับมาเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก เมื่อนั้นย่อมสามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนย้อนหลัง ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. อัยการ ไปสู่ศาลฎีกาฯ เอาผิดบิ๊กตู่กับพวก ย่อมกระทำได้ตามสบาย ไม่มีใครว่า
ถ้าผลสรุปเป็นเช่นนั้น จะได้รู้ว่า โครงการจำนำข้าวทุกเมล็ด กับมาตรการชะลอการขายข้าว สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติไม่ต่างกัน อดีตนายกฯชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ก็ต้องขึ้นศาลฎีกาฯ และชดใช้ความเสียหายเช่นเดียวกับอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์
“ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” คำพูดนี้ ผมได้ยินทั้งจากปากของยิ่งลักษณ์ และ พล.อ.ประยุทธ์