หัวข้อข่าว: เมล์เอ็นจีวีพ่นพิษนายกฯจี้สอบกระบวนการจัดซื้อส่อทุจริต
ที่มา: สยามรัฐ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559
“เอ็นจีวี”ส่อพ่นพิษ! “สหภาพฯขสมก.” บุกพบผู้บริหาร จี้ขอสัญญาจัดหารถโดยสารเอ็นจีวี หลังส่อแววแห้วรับรถ แนะ “บิ๊กตู่” ควรเข้ามาตรวจสอบภาพรวมทั้งองค์กรจะดีกว่า ระบุโครงการดังกล่าว ปัญหาไม่ได้เกิดจาก ขสมก. ด้าน “เพื่อไทย” ชี้กระทบภาพลักษณ์งานปราบโกง ขณะที่”พิชัย”จี้ “รัฐ-องค์กรอิสระ”เร่งตรวจสอบหาเบื้องหลัง เชื่อโครงการผิดแต่แรก “นายกฯ” บอก ขสมก.ติดหล่ม ต้องรอเคลียร์ข้อกฎหมาย-สัญญาหวั่นกระทบการบริการทั้งระบบ
จากกรณี องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)จัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ(รถเมล์เอ็นจีวี) จำนวน 489 คัน จากบริษัท เบสท์รินกรุ๊ปจำกัด ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูล โดยมีการนำเข้ามาเตรียมส่งมอบให้กับ ขสมก.ในลอตแรกจำนวน 100 คัน แต่ปรากฏว่าถูกกรมศุลกากรตรวจพบว่ามีการดำเนินการผิดกฎหมาย เนื่องจากมีการแจ้งแหล่งกำเนิดเป็นเท็จ และได้อายัดรถเมล์เอ็นจีวีลอตดังกล่าว เพื่อเรียกเก็บภาษีและค่าปรับจำนวนหลายร้อยล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.59 นายวีระพงษ์ วงแหวน ประธานสหภาพแรงงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)เปิดเผยว่า ในวันที่ 27 ธ.ค.59 สหภาพฯ จะเดินทางไปพบกับ ผอ.ขสมก.เพื่อขอดูเอกสารสัญญาโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ(เอ็นจีวี) จำนวน 489 คัน ว่าเป็นอย่างไรมีปัญหาตรงจุดไหนบ้าง ส่งผลให้ไม่สามารถส่งมอบรถได้ตามกำหนด เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางสหภาพฯ ขสมก.ได้แจ้งว่าจะส่งตัวแทนเข้าไปเป็นคณะกรรมการฯจัดหา แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับจากฝ่ายบริหาร และก็เกิดปัญหาขึ้นในขณะนี้
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าปัญหาไม่ได้เกิดจาก ขสมก. แต่เป็นปัญหาระหว่างบริษัทที่ชนะการประมูลกับศุลกากร แต่ผลเสียหายกับเกิดขึ้นกับขสมก. เพราะไม่สามารถมีรถใหม่ให้บริการประชาชนได้ตามกำหนด
นายวีระพงษ์ กล่าวว่า เสนอให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเข้ามาตรวจสอบโครงการดังกล่าว ซึ่งตนมองว่านายกฯ ควรที่จะเข้ามาแก้ไขในภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้เกิดความโปรงใส่และภาพลักษณ์ที่ดีต่อ ขสมก. สำหรับโครงการจัดหารถโดยสารฯเป็นเพียงโครงการย่อยที่เกิดขึ้นใน ขสมก. ก็เพียงส่งคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาตรวจสอบให้เป็นไปตามกฎหมายที่กำหนด เพราะยังมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถอยู่มาก
ด้าน นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวจากกรณีโครงการจัดซื้อรถโดยสารปรับอากาศใช้เชื้อเพลิงธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) จำนวน 489 คัน ว่า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯ ควรที่จะเร่งทำเรื่องนี้ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เสียภาษีตามระบบที่ถูกต้อง เพราะในขณะนี้รัฐบาลเองก็เดินหน้าเรื่องการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันอยู่ อาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์การทำงานด้านนี้ได้
“เท่าที่ทราบโครงการดังกล่าวนี้มีความผิดปกติมาตั้งแต่แรกแล้ว พอดำเนินการต่อก็มีทีละส่วนที่ถูกเปิดเผยข้อเท็จจริงกรณีนี้ก็เป็นอีกส่วนที่ถูกตรวจพบความผิดปกติ ควรเร่งให้องค์กรรัฐและองค์กรอิสระอย่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) กับสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) เข้าไปตรวจสอบว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังอย่างไรบ้าง” นายพิชัย กล่าว
ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์กรณีปัญหาการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีลอตแรก ว่า ยังไม่ได้รับรายงานที่วันนี้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้เรียกขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) และกรมศุลกากรหารือ จนกว่าจะเกิดความชัดเจนในเรื่องนี้ ก็เป็นไปตามกฎหมาย สัญญาคือสัญญา กฎหมายคือกฎหมาย ซึ่งตอนนี้มีสองอย่างนี้ ถ้าเคลียร์ทั้งสองอย่างได้ชัดเจน ถึงจะปฏิบัติก็ไม่ควรจะทำให้มันผิดต้องเข้าสู่กลไกตรวจสอบ ตนไม่ได้เร่งร้อนเพื่อจะนั่งรถเมล์ มันคนละเรื่องกัน
เมื่อถามว่า หากแก้ไขไม่ได้จะล้มเลิกโครงการหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่าคณะกรรมการจะเสนอมาว่าควรจะต้องเป็นอย่างไร และคงต้องจัดทำใหม่อยู่แล้วถ้ามันไม่ได้ตนต้องการให้ดำเนินการโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเรื่องการพัฒนาขสมก. รวมถึงเส้นทางการบริการประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาเก่าและยังมาพันกับเรื่องนี้อีก ไม่รู้เป็นอย่างไร พอเดินหน้าก็ติดกลับวนอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นตนจึงบอกว่าปี 60 จะเป็นปีแห่งการแก้ปัญหาให้ได้ทั้งหมด และทำให้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นจะเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลย แม้ได้มาก็ไม่เป็นกอบเป็นกำ อยากได้กันหรือไม่ อะไรที่จะทำให้ประเทศมีรายได้สูงขึ้น และขอย้ำอีกครั้งว่าตนให้ความสำคัญกับประชาชนทุกระดับเสมอ การพูดถึงไทยแลนด์4.0 ถือเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ให้คนรู้สึกไปถึงความทันสมัย และตัวเองต้องรู้ว่าถึงจุดไหนด้วย และเป็นกรอบใหญ่เอื้อประโยชน์สู่ข้างล่าง อย่าคิดว่าทิ้งคนมีรายได้น้อย ปี 60 ยังเน้นเรื่องพวกนี้หลายอย่างที่เสนอมาก็จะดูว่าทำได้หรือไม่