แค่รูดซิปปากไม่พอต้องเคลียร์ให้ชัด ระวังคนใกล้ชิดทำ”ประยุทธ์”เสื่อม !!

หัวข้อข่าว: แค่รูดซิปปากไม่พอต้องเคลียร์ให้ชัด ระวังคนใกล้ชิดทำ”ประยุทธ์”เสื่อม !!

ที่มา: คอลัมน์ เมืองไทย 360, ผู้จัดการรายวัน 360 องศา ฉบับวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

 

          นาทีนี้คงเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึกของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ว่าต้อง “หงุดหงิด” รำคาญใจกับข่าวคราวการวิพากษ์วิจารณ์คนใกล้ชิด โดยเฉพาะกระแสการวิพากษ์วิจารณ์กับคนในครอบครัวของ “น้องชาย” คือ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่เพิ่งโหมเข้ามาซ้ำเติมซ้อนๆ กัน

 

          แน่นอนว่าหากชั่งน้ำหนักจากเรื่องที่ถูกวิจารณ์อยู่ในเวลานี้ โดยรวมๆ แล้วน่าจะค่อยๆ เลือนหายไปกับสายลม เว้นแต่มีข้อมูลใหม่ หรือมีเรื่องอื้อฉาวเพิ่มเติมเข้ามาอีก นั่นแหละถึงจะเรียกว่า “น่าเป็นห่วง” กว่าที่เป็นอยู่ แต่ เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ทำลายกัดกร่อนศรัทธาที่สังคมส่วนใหญ่ทุ่มเทให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เป็น “พี่ชาย” ลงได้ไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งมันก็เหมือนกับ “แต้มสะสม” รอวันปะทุขึ้นมาได้ในอนาคต

 

          กรณีการสร้าง “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” ที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่มีการเปิดเผยออกมา มีการเผยแพร่ส่งต่อรูปภาพที่ออกไปในทาง “เวอร์” จนทำให้เกิดความรู้สึกของชาวบ้าน และนำไปสู่การยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มีการตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และพวก กรณีเอื้ออำนวยความสะดวกให้ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา พล.อ.ปรีชา โดยหนังสือให้ตรวจสอบดังกล่าวให้สอบสวนกองทัพอากาศด้วย ที่มีการอนุญาตให้ใช้เครื่องบินของกองทัพสำหรับการเดินทางไปสร้างฝายดังกล่าว โดยอ้างว่านางผ่องพรรณ ไม่มีสิทธิ์ใช้ แต่ต่อมาทางกองทัพอากาศชี้แจงว่า เป็นการประสานขอมาจาก พล.อ.ปรีชา ในฐานะปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทาง ป.ป.ช.ก็ได้รับเรื่องไว้พิจารณาตรวจสอบ

 

          ดังนั้นเรื่อง “ฝายแม่ผ่องพรรณ” ก็ต้องรอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งจะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ ก็ไม่อาจทราบได้ และอีกไม่กี่วัน พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ก็จะเกษียณอายุราชการแล้ว ซึ่งตามขั้นตอนแบบนี้แหละ เรื่องราวก็จะค่อยๆ เงียบหายไปก่อน

 

          อย่างไรก็ดี สำหรับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ยังมีเรื่องอื่นให้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่าง ต่อเนื่อง เพราะก่อนหน้านี้หากยังจำกันได้กับกรณี การ รับ “ลูกชาย” เข้ารับราชการทหารในกองทัพภาคที่ 3 ติดยศร้อยตรี ตอนนั้นก็มีการวิจารณ์กันถึงเรื่องการใช้ “เส้นสาย” และความเหมาะสม แม้ว่าจะมีการชี้แจงว่า ตามระเบียบสามารถทำได้ โดยเฉพาะการชี้แจงทำนองว่า “ที่อื่นก็ทำกัน” จากนั้นเรื่องก็ค่อยๆ เงียบหายไป

 

          จนกระทั่งมีกรณี “ฝายแม่ผ่องพรรณ” นี่แหละที่ปะทุขึ้นมาอีก และตามมาติดๆ เมื่อ “สำนักข่าวอิศรา” ไปสืบเสาะมาพบว่ามีบุตรชายอีกรายหนึ่งของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และอดีตแม่ทัพภาคที่ 3 มีหุ้นส่วนในบริษัทที่เป็นคู่สัญญารับเหมาก่อสร้างหน่วยงานทหาร ในกองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า อย่างน้อย 2 โครงการ รวมวงเงินกว่า 26 ล้านบาท

 

          แน่นอนว่า พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อธิบายว่า เป็นเรื่องการพิจารณาของกองทัพภาคที่ 3 ในการอนุมัติ ตัวเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้งบริษัทของลูกชายเขาก็ทำตาม ขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง จึงไม่น่ามีปัญหาอะไร

 

          นั่นเป็นคำอธิบายของ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา แต่ไม่แน่ใจว่าสังคมจะเข้าใจ และคล้อยตามเหตุผลดังกล่าวด้วยหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจากสิ่งที่เห็นมันคาบเกี่ยวกับ “เรื่องจริยธรรม” การขัดกันแห่งผลประโยชน์ และที่สำคัญก็คือ นี่คือ “ยุคของการปฏิรูป” เรื่องแบบนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นมา

 

          อย่าได้แปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงกับร้อนรน ต่อสายมาหา พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายให้ “ระวังตัว และอยู่เงียบๆ” และแน่นอนว่า ในคำสนทนาระหว่างคนสองคนนั้น คนนอกคงไม่อาจรับรู้ได้ แต่ก็เชื่อว่าคงต้องมีรายการตำหนิออกมาบ้าง ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องบอกว่าให้ระวังตัว ซึ่งคำว่าระวังนั้น น่าจะมีความหมายในทางที่บอกว่า “อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก” อะไรประมาณนั้น เพราะภาพที่ออกมามัน “เป็นลบ” โดยเฉพาะมันส่งผลสะเทือนต่อตัว พล.อ.ประยุทธ์ กระทบต่อรัฐบาล และต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกด้วย

 

          อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า กรณีของครอบครัว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา มันก็เหมือนกับ “แต้มสะสม” ในทางลบ ครั้งแรกอาจไม่มีผลนัก แต่เมื่อเกิดเรื่องให้วิจารณ์ในทางลบในครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ซึ่งต่อไปก็ยังไม่รู้ว่า จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตามมาอีกหรือไม่ แต่หากเกิดซ้ำในทำนองเดียวกัน เชื่อว่าน่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือนมากกว่าเดิมแน่นอน

 

          อย่างไรก็ดี ในกรณีของ “ฝายแม่ผ่องพรรณ” เมื่อมีการร้องเรียนเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องก็เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ ก็ต้องใช้เวลา ต้องทำให้เกิดความชัดเจน สามารถอธิบายกับสังคมได้ ขณะเดียวกันสำหรับ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา และครอบครัว คงถึงเวลาต้องตระหนักแล้ว ทำอะไรต้องระวังกว่าคนอื่นสองสามเท่า ที่สำคัญในยุคที่การสื่อสารฉับไว การตรวจสอบยิ่งเข้มข้น มันก็อาจเกิดเหตุไม่คาดหมายได้ตลอดเวลา อย่าประมาทเป็นอันขาด !!

 

          อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า กรณีของครอบครัว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชามันก็เหมือนกับ “แต้มสะสม” ในทางลบ ครั้งแรกอาจไม่มีผลนักแต่เมื่อเกิดเรื่องให้วิจารณ์ในทางลบในครั้งที่สอง ครั้งที่สาม ซึ่งต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตามมาอีกหรือไม่ แต่หากเกิดซ้ำในทำนองเดียวกันเชื่อว่าน่าจะเกิดแรงสั่นสะเทือนมากกว่าเดิมแน่นอน