หัวข้อข่าว ศาลชี้ขาดไม่รอลงอาญาสั่งจำคุก3ปีลูกสุเทพรุกเขาแพง วิษณุเมินบุญทรงฟ้องกลับคดีจีทูจี เคาะรธน.28ก.ย.
ที่มา; คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559
ศาลสั่งจำคุก “แทน เทือกสุบรรณ” 3 ปี ไม่รอลงอาญา คดีรุกเขาแพง เกาะสมุย ก่อนให้ประกัน ศาล รธน.นัดลงมติปม คำถามพ่วง 28 ก.ย. “บิ๊กป้อม” เชื่อลูก “บิ๊กติ๊ก” ประมูลงานไม่บานปลาย “วิษณุ” เมิน “บุญทรง” ขู่ฟ้องกลับคดีจีทูจี
หลังต่อสู้คดีมาเป็นเวลา 3 ปีเต็ม ล่าสุดศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุก นายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และเลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และพวกอีก 3 คน ในคดีบุกรุกที่ดินรัฐและพื้นที่ป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี แล้ว
ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วันที่ 21 กันยายน 2559 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีบุกรุกที่เขาแพง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หมายเลขคดีดำ อ.3534/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายพรชัย ฟ้าทวีพร อายุ 51 ปี ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่นจำกัด, นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี อายุ 59 ปี หุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน, นายแทน เทือกสุบรรณ อายุ 35 ปี บุตรชายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อายุ 61 ปี อดีตเลขานุการส่วนตัวของนาย สุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดร่วมฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2518 มาตรา 22
คดีนี้อัยการยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2556 บรรยายพฤติการณ์ความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 27 กันยายน 2543-5 ตุลาคม 2544 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตารางวา โดยจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุก เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่า เขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่สองฝ่ายนำสืบหักล้างกันแล้ว พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดตามฟ้อง จึงพิพากษาว่า นายพงษ์ชัย และนายสามารถ หรือโกเข็ก จำเลยที่ 1-2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 5 ปี ส่วนนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง และ พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคหนึ่ง โดยการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกคนละ 3 ปี
ศาลชี้ผิดร้ายแรงไม่มีเหตุให้รอลงโทษ
ทั้งนี้ ในคำพิพากษาศาลระบุด้วยว่า ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะต้องร่วมกันหวงแหน บำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้เป็นของส่วนตัวแก่ผู้ใด การกระทำของจำเลยทั้งสี่มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ ทั้งโดยตรงและทางอ้อม อันเป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง และภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
นอกจากนี้ยังให้จำเลยทั้งสี่ คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสี่ ออกจากที่ดินและป่าไม้บริเวณที่เกิดเหตุ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก โดยหลังจากศาลมีคำพิพากษาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ อาทิ สมุดเงินฝากธนาคาร หนังสือ น.ส.3 ก. เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ต่อสู้คดี กระทั่งเวลา 16.15 น. ศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งสี่ โดยตีราคาประกันนายพงษ์ชัย และนายสามารถ จำเลยที่ 1-2 คนละ 8 แสนบาท นายแทนและนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 คนละ 5 แสนบาท พร้อมกำหนดเงื่อนไข ห้ามจำเลยทั้งสี่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ศาลรธน.นัดลงมติคำถามพ่วง 28 ก.ย.
วันเดียวกัน สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการพิจารณากรณีที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแก้ไขในส่วนที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการออกเสียงประชามติในประเด็นเพิ่มเติม เพื่อให้พิจารณาว่าเป็นการชอบด้วยกับผลการออกเสียงประชามติแล้วหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 1 2558 มาตรา 37/1 โดยศาลได้อภิปรายเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัย และนัดแถลงด้วยวาจาและลงมติในวันที่ 28 กันยายน
ประวิตรป้องลูกบิ๊กติ๊กรับงานได้ไม่ผิด
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์กรณีมีชื่อบุตรชาย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที่เข้ามารับทำโครงการของกองทัพภาคที่ 3 ว่า โครงการดังกล่าวต้องผ่านการประมูล ซึ่งใครก็สามารถเข้ามาประมูลได้ ทุกคนสามารถยื่นซองได้ ไม่ได้มีกำหนดห้าม ลูกชายพล.อ.ปรีชาก็ยื่นซองประมูลได้ ใครก็ยื่นได้หากให้ราคาต่ำและกำหนดสเปกงานได้ตามความต้องการของกองทัพภาคที่ 3 ก็ถือว่าได้งานไป
“เดี๋ยวนี้เขาใช้วิธีการประมูลแบบอิเล็ก ทรอนิกส์ ซึ่งไม่เห็นหน้ากันอยู่แล้ว การที่สังคมสงสัยก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนามสกุลจันทร์โอชา เชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่บานปลาย เพราะไม่มีอะไร และไม่กลัวว่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อกองทัพ ผมอยู่มาตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรเลย เป็นผู้บังคับหน่วยมาตลอด และเป็นรัฐมนตรีมาตั้งนานก็ไม่เคย ทุกอย่างทำตรงไปตรงมาทุกเรื่อง” พล.อ.ประวิตร กล่าว
ส่วนกรณีดังกล่าวจะเป็นบรรทัดฐานให้นักการเมืองสามารถส่งคนนามสกุลเดียวกันมาประมูลงานของหน่วยงานรัฐได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ทำได้หมด ถ้าทำตรงไปตรงมา การประมูลงานสามารถทำได้อยู่แล้ว