หัวข้อข่าว: โกงที่ดินพังงา-ภูเก็ต ปมสั่งตาย’ธวัชชัย’?(3)
ที่มา: คอลัมน์ เรื่องเล่าข่าวดัง, คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559
แม้จะมีความคลุมเครือ แต่ดูเหมือนว่ากรณีการตายของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าพนักงานที่ดินพังงา สาขาท้ายเหมือง ผู้ต้องหาคดีออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ ซึ่งเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ค่อนข้างจะแจ่มชัดขึ้นว่า การผูกคอตายอาจไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผู้ตายเสียชีวิต แต่การเสียชีวิตนั้นอาจมีผู้อื่นเป็นผู้กระทำ
ภายหลังการเข้าสอบปากคำ พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผบก.สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ และทีมแพทย์ผู้ผ่าชันสูตรพลิกศพ พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง เปิดเผยถึงสาเหตุการตายของนายธวัชชัยว่า เป็นเพราะตับแตก เลือดออกในช่องท้อง และขาดอากาศหายใจ แต่ตับจะแตกก่อนหรือหลังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด โดยอ้างว่ายังต้องแสวงหาข้อเท็จจริง
“จากการสอบยืนยันได้ว่าซี่โครงหักจริง แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าหักช่วงไหน ซึ่งสำนวนการสอบสวนคดีนี้เป็นสำนวนคดีการชันสูตรพลิกศพ จะไม่มีการกล่าวหาผู้หนึ่งผู้ใด แต่จะเป็นการค้นหาว่าตายเพราะฆ่าตัวตาย หรือตายเพราะถูกผู้อื่นทำให้ตาย ตายเพราะอุบัติเหตุ สัตว์ร้ายทำให้ตาย ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานสามารถบ่งชี้ให้เห็นได้ว่า นายธวัชชัยเสียชีวิตมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะมีผู้อื่นทำให้ตาย แต่ไม่ใช่ฆาตกรรม” พ.ต.อ.มานะ ระบุ
“ผู้อื่นทำให้ตายแต่ไม่ใช่ฆาตกรรม” ประเด็นนี้กลายเป็นที่สงสัย และจำเป็นต้องได้รับการคลี่คลาย
พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ยืนยันว่า การสืบสวนสอบสวนต้องทำในทุกมิติเพื่อให้ได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า บุคคลอื่นที่ทำให้ตายคือใคร ซึ่งเชื่อมั่นในศักยภาพของทีมงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่จะสามารถสร้างความกระจ่างเกี่ยวกับกรณีนี้ได้
มีการตั้งข้อสังเกตผู้ที่เกี่ยวข้องที่อาจมีส่วนทำให้นายธวัชชัยตาย อาจมีอยู่ 2 กลุ่ม คือ เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เข้าไปช่วยเหลือหลังพบเหตุการณ์นายธวัชชัยและทีมช่วยชีวิตของโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ยืนยันว่า ต้องสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน
ขณะที่ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 23 กันยายน ไว้น่าสนใจ ในทำนองต้องการให้คณะกรรมการสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของนายธวัชชัย ตรวจสอบให้ชัด โดยระบุตามข้อความที่โพสต์บางตอนว่า การเสียชีวิตของนายธวัชชัยเกิดขึ้นที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ระหว่างเวลา 01.00-05.00 น. โดยบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพียงว่านายธวัชชัยมีอาการคล้ายเป็นลมเท่านั้น ไม่ได้ให้ข้อมูลว่าผูกคอตาย จนมีการแถลงข่าวจากอธิบดีดีเอสไอหลังนายธวัชชัยตายแล้ว
สถาบันนิติเวชวิทยาแจ้งสาเหตุการตายเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ว่า เกิดจากการขาดออกซิเจนและตับแตก มีเลือดออกในช่องท้อง ไม่มีการแจ้งเลยว่ามีซี่โครงหักแต่อย่างใด…ทำไมสถาบันนิติเวชวิทยาจึงไม่อธิบายให้ญาติเข้าใจปัญหาตับแตกว่ามีสาเหตุจากอะไร ทั้งๆ ที่อยู่ในวิสัยที่สามารถอธิบายอย่างพอสังเขปในระดับหนึ่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยากถามสถาบันนิติเวชวิทยาอีกว่า ทำไมจึงเพิ่งปรากฏในข่าวไม่กี่วันมานี้ว่ามีซี่โครงหักจำนวนมาก ทั้งๆ ที่น่าจะแจ้งให้ญาติทราบตั้งแต่แรกแล้วว่ามีกระดูกซี่โครงหักจำนวนมากพร้อมๆ กับตับแตก มีเลือดออกในช่องท้องตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2559 แล้ว ทำให้สงสัยว่า ซี่โครงหักจำนวนมากมายทั้ง 2 ข้างนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ผู้ช่วยชีวิตไม่เชื่อว่ามีกระดูกซี่โครงหักมากมายตามที่เป็นข่าว
ล่าสุดมีข่าวว่านายธวัชชัยอาจเสียชีวิตจากการกระทำของบุคคลอื่น แต่ไม่ใช่การฆาตกรรมนั้น…มันหมายความว่า…นายธวัชชัยอาจเสียชีวิตจากบุคคลอื่นที่ทำการช่วยชีวิตปั๊มหัวใจนายธวัชชัย จนเกิดปัญหาตับแตก ซึ่งถือว่ากระทำการเพื่อช่วยชีวิต จึงไม่ใช่เป็นการฆาตกรรม…ใช่หรือไม่ ???…หากตอบว่า ‘ใช่‘…ผมขอเรียกร้องให้มีการพิสูจน์
หลักฐานเพื่อ Rule out จำแนกสาเหตุฆาตกรรมให้ครบถ้วนจนเป็นที่แน่ชัดเสียก่อนที่จะตัดสินว่า นายธวัชชัยฆ่าตัวตายเองเพื่อที่จะนำไปสู่การอธิบายปัญหาตับแตกต่ออีกว่าเกิดจากการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตของบุคลากรทางการแพทย์…การ Rule out จำแนกสาเหตุจากการฆาตกรรมในผู้เสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวถือว่าเป็นมาตรฐานสากลที่จะต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนเสียก่อนที่จะสรุปว่าผู้ต้องขังฆ่าตัวตายเอง
ขอให้คณะกรรมการสอบสวนทำความกระจ่างชัด โดยเฉพาะการนำบันทึกวงจรปิดของดีเอสไอ ในช่วงเวลาก่อน 01.00 น.ของวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ย้อนหลังไปถึงคืนวันที่ 29 สิงหาคม 2559 มาพิสูจน์ด้วย …ผมเองยังพร้อมพิสูจน์บันทึกภาพวงจรปิดความยาวกว่า 5 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งเป็นภาพเคลื่อนไหว ไม่มีการตัดต่อ มีความคมชัดของภาพอย่างชัดเจนสามารถแสดงเหตุการณ์ในขณะที่นายธวัชชัยอยู่ในหน่วยอภิบาลผู้ป่วยอาการวิกฤติมาแสดงได้ฉันใด…ดีเอสไอก็ต้องแสดงบันทึกภาพวงจรปิดก่อนเวลา 01.00 น.ของวันที่ 30 สิงหาคม 2559 ได้ไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมงครึ่งได้เช่นกัน…การกล่าวอ้างเหตุเซิร์ฟเวอร์ขัดข้อง ไม่ใช่เหตุผลในการ Rule out ว่า นายธวัชชัยไม่เสียชีวิตจากการฆาตกรรม
อีกไม่นานนับจากนี้สาเหตุการตายของนายธวัชชัยคงมีการสรุปออกมาโดยพนักงานสอบสวนในระยะเวลาไม่ช้านับจากนี้ ซึ่งดูเหมือนว่าจนถึงวินาทีนี้พอมีแนวทางอยู่บ้างแล้ว ซึ่งผลที่ออกมาคงไม่เกินความคาดหมาย
ซึ่งในแนวทางการสืบสวนสอบสวนการคลี่คลายคดีการตายของนายธวัชชัยถือเป็นเรื่องหนึ่งที่นอกเหนือจากปมปัญหาทุจริตการออกเอกสารสิทธิที่ดินใน จ.ภูเก็ต และ จ.พังงา ซึ่งนายธวัชชัยเป็นเพียงหนึ่งในผู้ต้องหาที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น
การออกเอกสารสิทธิที่ดินที่น่าสงสัยนำมาสู่การยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.พิจารณาตรวจสอบ ซึ่งมีทั้งหมด 14 คดี โดย 11 คดีอยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง โดยในตอนที่แล้วนำเสนอถึงรายละเอียดไปแล้ว ในตอนนี้จึงขอนำเสนอคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงอีก 3 คดี
คดีแรก สภ.ถลาง จ.ภูเก็ต กล่าวหาอดีตรองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติสิรินาถ เจ้าหน้าที่ที่ดิน ปลัดอำเภอ ป่าไม้อำเภอ และกำนัน ทั้งหมด 16 คน ว่าร่วมกันออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบด้วยกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องทับเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ และเขตป่าสงวนแห่งชาติเขารวมเขาเมือง ทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ โดยข้อกล่าวหานี้มีผลพวงมาจากกรณีการออกเอกสารสิทธิที่ดินให้แก่บริษัท ทรีดอลฟินซ จำกัด ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6288 และโฉนดที่ดินเลขที่ 6289 และ น.ส.3 ก. เลขที่ 3283 ซึ่ง ป.ป.ช.มีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2557 มีนายประสาท พงษ์ศิวาภัย เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป.ป.ช.ว่าจะชี้มูลความผิดหรือไม่
คดีต่อมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. ภายหลังจากมี “บัตรสนเท่ห์”กล่าวหาอดีตเจ้าพนักงานที่ดิน จ.ภูเก็ต กับพวก รวม 12 ราย ว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยอ้างว่าร่วมกันออกโฉนดที่ดิน เลขที่ 13754 และ 13755 ต.กมลา
อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งมีที่มาจากการนำหลักฐานการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) เลขที่ 361 หมู่ 1 ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต มาสวมสิทธิ์เพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในพื้นที่ ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ป.ป.ช.มีมติให้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนในเดือนกรกฎาคม 2557 มีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริง
คดีต่อมา ป.ป.ท.ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช. หลังจากมี “บัตรสนเท่ห์”
อ้างว่าเป็นประชาชนใน จ.ภูเก็ต และคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวหาอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต (ในฐานะผู้อนุมัติให้ออกโฉนดที่ดิน) และพวกรวม 3 ราย ทุจริตต่อหน้าที่ ร่วมกันออกโฉนดที่ดิน จำนวน 2 แปลง เลขที่ 98414 เลขที่ดิน 1 เนื้อที่ 45-3-87.3 ไร่ และเลขที่ 98415 เลขที่ดิน 2 เนื้อที่ 19-3-00.4 ไร่ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าเทือกเขานาคเกิด”
โดยมิชอบ และเรียกรับเงินในการดำเนินการออกโฉนดที่ดินนี้ 200 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 ป.ป.ช.มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวน โดยมีนายวิชา มหาคุณ เป็นประธานอนุกรรมการ
ทีมข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินเหล่านี้ แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่เหล่านี้ปฏิเสธที่จะพูดถึงกรณีนี้ โดยอ้างว่าไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ เพราะทราบดีว่า การออกเอกสารสิทธิในที่ดินเหล่านี้ไม่ธรรมดา โดยพวกเขาเชื่อว่า มีผู้ทรงอิทธิพล และกลุ่มคนมีสี เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงเกรงจะมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย