ม.44กับ’บิ๊กติ๊ก

หัวข้อข่าว: ม.44กับ’บิ๊กติ๊ก

ที่มา: โลกวันนี้ ฉบับวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

 

ข้อกล่าวหาที่เกิดกับ “บิ๊กติ๊ก” น้องชาย “บิ๊กตู่” ยิ่งนานวันยิ่ง มีประเด็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนผู้เกี่ยวข้องต้องถอยเพื่อรักษาระยะห่าง เลิกประทับตรารับรองความถูกต้องโปร่งใสเหมือนที่แสดงออกในช่วงแรก ปล่อยให้ป.ป.ช.ทำหน้าที่ตรวจสอบตอบคำถามสังคม อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนี้แค่ถอยรักษาระยะห่างอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะเริ่มมีคำถามดังขึ้นเรื่อยๆว่าจะใช้อำนาจมาตรา 44 ออกคำสั่งพักงาน “บิ๊กติ๊ก” ระหว่างรอการตรวจสอบ เหมือนกับที่สั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารองค์ กรท้องถิ่นรายอื่นที่มีชื่อถูกพักงานยาวเป็นหางว่าวหรือไม่

ไม่กระทบแต่สะเทือนอย่างที่ว่าเอาไว้จริงๆ สำหรับเรื่องฉาวเกี่ยวกับครอบครัว “บิ๊กติ๊ก” พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีสถานะเป็นน้องชายร่วมสายโลหิตกับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

จับอาการล่าสุดแม้ไม่ถึงขั้นวงแตก แต่ก็เริ่มดีดตัวรักษาระยะห่าง

จากที่เคยพูดว่าถูกจับตาเพราะนามสกุลจันทร์โอชา เป็นน้องนายกรัฐมนตรี มีคนไม่หวังดีปล่อยข่าวเอาข้อมูลออกมาให้คนนอก โดยเฉพาะเรื่องทหารแตงโมที่ถูกพูดถึงอีกครั้งหลังหายเงียบไปพักใหญ่

ขณะนี้มีการปรับท่าทีเป็นไม่อุ้ม ไม่รับรองความโปร่งใส ไม่รับรองความเหมาะสมโดยเฉพาะกรณี ห้างหุ้นส่วนจำกัดที่มีชื่อลูก “บิ๊กติ๊ก” เป็นผู้ถือหุ้น

ไม่ว่าจะเป็นกรณีใช้บ้านพักในค่ายทหารเป็นที่ทำการ ชนะประมูลงานกับหลายโครงการในพื้นที่กอง ทัพภาคที่ 3 ที่บิดาเคยเป็นแม่ทัพภาค

มีทุนจดทะเบียนน้อยนิดแต่ได้งานรวมแล้วหลักร้อยล้าน งานที่ได้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นหลัง คสช.ยึดอำนาจ

บริษัทที่แพ้ประมูลเป็นบริษัทที่ทำการค้าอยู่กับกองทัพในวงเงินมหาศาลแต่แพ้ประมูลให้ หจก.น้องใหม่ที่มีเงินทุน เครื่องไม้เครื่องมือน้อยกว่า และแพ้เสนอราคากันในหลักพันกว่าบาท

ทั้ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม-บิ๊กติ๊ก” ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ รู้เรื่องที่ลูกหลานใช้บ้านพักในค่ายจดทะเบียนทำการค้า ทั้งที่ จดทะเบียนทำธุรกิจมานานหลายปีแล้ว

ท่าทีของ “บิ๊กตู่” ล่าสุดคือ “ผมกับน้องเป็นคนละคนกัน รักน้องแต่ช่วยไม่ได้ ช่วยชี้แจงแทนก็ไม่ได้”

โยนเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นผู้ตรวจสอบ และขอให้ประชาชนมั่นใจกระบวนการตรวจสอบ ถ้าใครไม่มั่นใจก็ให้ไปอยู่ที่อื่น

คำว่า “ใครไม่มั่นใจให้ไปอยู่ที่อื่น” เป็นไปได้ทั้งต้องการสื่อถึงประชาชนทั่วไปที่มีคำถาม ตั้งข้อสงสัย และต้องการส่งถึงน้องชายว่าขอให้มั่นใจ แค่ทำทุกอย่างไปตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีอีกคำถามที่ดังขึ้นเรื่อยๆ คือกรณีนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจหัวหน้า คสช.ออกคำสั่งตามมาตรา 44 พักงานข้าราชการพลเรือนทั้งส่วนกลาง ท้องถิ่น ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ถูกกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใสจำนวนมากเพื่อรอการตรวจสอบ หรือเพื่อให้การตรวจสอบไม่มีอะไรติดขัด

ล่าสุดออกคำสั่งเป็นลอตที่ 8 พักงานเพิ่มอีก 78 ราย รวมใช้อำนาจมาตรา 44 สั่งพักงานเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อรอตรวจสอบตามข้อกล่าวหาแล้วจำนวนมาก

เมื่อน้องชายซึ่งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมถูกกล่าวหาและถูกยื่นให้ตรวจสอบอยู่หลายกรณี อำนาจมาตรา 44 จะครอบคลุมถึงเพื่อสั่งพักงานรอการตรวจสอบความโปร่งใสหรือไม่

ถ้าไม่ก็จะกลายเป็นขี้ปากให้คนติฉินนินทากระทบต่อความเชื่อมั่นได้

ตรงกันข้ามหากกล้าใช้อำนาจออกคำสั่งพักงานน้องชายเพื่อรอการตรวจสอบก็จะได้รับคำสรรเสริญเยินยอยกย่องว่าตรงไปตรงมา ไม่ลูบหน้าปะจมูก

ถ้าคำสั่งพักงานยังไม่ใช่ข้อสรุปว่ามีความผิด เพื่อให้การตรวจสอบไม่มีอุปสรรคอย่างที่ยกเป็นเหตุผลอธิบายหลังการออกคำสั่งทุกครั้ง ก็น่าจะตัดสินใจได้ไม่ยาก

หากกล้าใช้อำนาจสั่งพักงานน้องชายจะได้รับคำสรรเสริญเยินยอว่าตรงไปตรงมา ไม่ลูบหน้าปะจมูก