หัวข้อข่าว: วิกฤติ’ปรีชา’จับตา’ประยุทธ์’
ที่มา: คอลัมน์ ขยายปมร้อน, คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559 โดย อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ สำนักข่าวเนชั่น
แรงไม่หยุดฉุดไม่อยู่เสียแล้ว สำหรับบ้านของ “จันทร์โอชา” ผู้น้อง ที่ถูกเปิดปมต่างๆ ออกมาชนิดรายวัน เรียกว่าถ้าเป็นมวยก็อยู่ในระยะเมาหมัด หากไม่นับสองกรณีก่อนหน้านี้ที่ค่อยๆ เงียบหายไปกับสายลมอย่าง การโอนเงินหลวงเข้าบัญชีกว่า 80 ล้านบาท และการเซ็นบรรจุบุตรชายเข้ารับราชการทหาร
แผลใหม่รอบนี้ถือว่าเจ็บช้ำยิ่งนัก เริ่มตั้งแต่การเปิดแผลที่ “ผ่องพรรณ จันทร์โอชา” ว่าใช้ชื่อของเธอเป็นชื่อฝาย “แม่ผ่องพรรณพัฒนา” ทั้งๆ ที่ใช้งบประมาณของกระทรวงกลาโหม ทำให้ถูกโจมตีถึง ความเหมาะสม และระบุว่าเป็นการแอบอ้างหรือไม่
จากนั้นข้อมูลของ “แม่ผ่องพรรณ” ก็ถูกเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ บุคลิก การใช้ชีวิต และที่สำคัญการวางตัวของเธอ
ซ้ำการแก้ตัวของกระทรวงกลาโหมก็ยังสร้างความแคลงใจ เช่นการที่บอกว่าชาวบ้านเป็นผู้ตั้งชื่อให้ และเป็นป้ายต้อนรับ แต่ดูอย่างไรป้ายนั้นก็ทำโดยกระทรวงกลาโหม ซึ่งน่าจะขัดกับนโยบายที่ “จันทร์โอชา” ผู้น้องได้วางไว้ เพราะพฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์และนักการเมืองมักจะกระทำ ซึ่งเรานิยามการกระทำเช่นนี้ว่า “แอบอ้าง”
นอกจากนี้การแก้ตัวของกลาโหม ยิ่งลากเรื่องเข้ารกเข้าพงกันไปอีก เช่นการออกมาบอกว่าฝายใช้งบประมาณแค่ 7,800 บาท แต่ก็มีการเปิดข้อมูลว่ามีการขอสนับสนุนเครื่องบินซี-130 พาคณะไปทำพิธีเปิดฝาย ซึ่งที่สุดก็ถูกวิพากษ์ว่า เป็นการใช้จ่ายเกินความจำเป็น เพราะฝายแค่หลักพัน แต่ค่าใช้จ่ายของ ซี-130 ตกชั่วโมงละ 5 แสนบาท รวมๆแล้วเป็นเงินหลักล้าน
ซึ่งต่อมากองทัพอากาศก็ออกแนวชิ่งด้วยการบอกว่าเป็นการอนุมัติตามคำขอของปลัดกระทรวงกลาโหม โดยไม่ได้อนุมัติไปเรื่องของการเปิดฝายแต่อย่างใด
ยังไม่จบเรื่อง “ผ่องพรรณ” ดี คราวนี้เหมือนจะเป็นแผลที่ใหญ่กว่า เมื่อมีการเปิดเผยถึงการรับงานของบริษัทแห่งหนึ่งกับกองทัพภาคที่ 3 บริษัทที่ว่าชื่อ “ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น” ซึ่งจะไม่มีปัญหาหากบริษัทดังกล่าวไม่มีหุ้นส่วนและผู้จัดการที่ชื่อ “ปฐมพล จันทร์โอชา” บุตรชายอีกคนของ “ปรีชา จันทร์โอชา”
เริ่มเปิดด้วยบอกว่า บริษัทดังกล่าวรับงานจากกองทัพภาคที่ 3 ในวงเงิน 26.9 ล้านบาท ต่อมามีการพบว่าบริษัทเดียวกันนี้รับงานของกองทัพภาคที่ 3 อีกเป็นจำนวนมาก รวมแล้วถึง 97.6 ล้านบาท นี่จึงเป็นเหตุให้หลายคนจับตามองและเชื่อมโยงว่า ทำไมต้องเป็นทัพภาคสาม เพราะนอกจาก “ปรีชา” จะเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมแล้ว เขายังเคยเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ตั้งแต่ปี 2556-2557
เรื่องราวไม่จบแค่นั้น เมื่อมีการไปสืบทราบมาว่า ที่ตั้งของบริษัท “คอนเทมโพรารีฯ” นี้อยู่ในค่ายเอกาทศรถ กองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นบ้านพักของ “ปรีชา จันทร์โอชา” นั่นเอง งานนี้จะปฏิเสธความเชื่อมโยงความมีอยู่ก็คงลำบาก สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องจริง แต่อ้างว่าไม่รู้มาก่อน
เท่านั้นยังไม่พอยังมีการเปิดเผยทรัพย์สินของบริษัทที่รับงานเป็นร้อยล้าน แต่เมื่อดูงบการเงิน กลับมีสินทรัพย์ที่เป็นอุปกรณ์เพียง 46,851.89 บาท และทรัพย์สินที่เป็นรถซูซูกิ แครี่ ปิกอัพ อีกหนึ่งคัน มูลค่าสามแสนบาทเท่านั้น
ใกล้เคียงกับคำว่าผลประโยชน์ทับซ้อนยิ่งนัก เรียกว่าการเปิดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนนั้น ย่อมทำให้เรื่องนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอาจไม่เงียบลงง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมา และที่สำคัญแม้จะยอมรับหรือไม่ เรื่องนี้กระทบถึง “จันทร์โอชา” ผู้พี่อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะภาพลักษณ์ ที่ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” พยายามนำเสนอมาตลอดไม่ว่าจะเป็นตัวเขาเอง หรือองคาพยพรอบตัวเขา คือความบริสุทธิ์ ไม่คอร์รัปชั่น หรือมีความขัดกันแห่งผลประโยชน์
ที่สุดเมื่อหนักขึ้นทุกวัน จึงมีข้อสงสัยว่า “ประยุทธ์” จะทำอย่างไร หากปล่อยไปอย่างนี้ รับรองว่าสถานภาพของรัฐบาลกระเพื่อมแน่ๆ เราจึงเห็นคำให้สัมภาษณ์ในทำนองว่า ให้กระบวนการตรวจสอบเดินหน้า แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่พอ เราจึงได้ยินวรรคทองออกมาจากปากของท่านผู้นำว่า “เสียใจตรงนี้ ที่ไม่รู้ว่าพี่น้องไปทำอะไรตรงไหนมาบ้าง” และ “ถ้าถามว่ารักน้องไหม ก็รัก แต่ทำอะไรไม่ได้ ใครทำอะไรก็รับผิดชอบตัวเอง”
แต่เมื่อเรื่องถึงขั้นนี้ แค่คำพูดอาจไม่เพียงพอต่อการเรียกความมั่นใจเสียแล้ว เราอาจต้องการเห็นอะไรที่มากกว่านั้นจากตัวผู้นำที่ประกาศว่ามือสะอาด อย่างน้อยก็เพื่อพิสูจน์ว่ามาตรฐานต่างๆ มีความเท่าเทียม และคำว่า “เข้มงวดกับตัวเอง” ย่อมเป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังจากคนที่เป็นผู้นำ