หัวข้อข่าว พิษบริวาร-คนใกล้ชิด ‘บิ๊กตู่‘สนิมเนื้อใน กร่อนศรัทธารัฐบาล
ที่มา; คอลัมน์ วิเคราะห์: ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559
แม้ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะผลักดันให้วาระการปราบปรามการทุจริตเป็น “วาระแห่งชาติ” เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามคอร์รัปชั่น ทั้งใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 และอำนาจปกติกวาดล้างการโกง
และแม้ว่าตั้งแต่เข้าสู่อำนาจผู้นำประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ “วางตัว” ถึงขั้น ปิดประตูทุกทางไม่ยอมให้ใครติดต่อ แม้กระทั่งเพื่อนสนิทก็ยังไม่รับโทรศัพท์ เพื่อปัดป้องไม่ให้ตกอยู่ในวงจรระบบอุปถัมภ์ ข้องเกี่ยวกับเงิน ยศ ตำแหน่ง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า 2 ปีที่อยู่ในอำนาจ แม้จะไม่มีข่าวลือปมทุจริตเฉียดใกล้ “พล.อ.ประยุทธ์” ให้เป็นที่ครหา แต่กลับเกิดขึ้นกับบริวาร คนแวดล้อม
เช่น กรณีของ “บิ๊กติ๊ก” พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะน้องชายร่วมสายเลือด ที่มีการเปิดประเด็นโจมตี “นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา” ภริยา “บิ๊กติ๊ก” ในฐานะนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม
จากจุดเริ่มต้นเรื่องการตั้งชื่อฝาย “แม่ผ่องพรรณพัฒนา” อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ถูกขุดคุ้ยต่อเนื่องถึงการ ตั้งแท่นรับความเคารพ การจัดพานมอบดอกไม้ การขอใช้เครื่องบินลำเลียง C-130 ที่มีการวิเคราะห์ภายในแวดวงทหารว่า อาจเกิดจากความไม่พอใจในผลการโยกย้ายแต่งตั้งนายทหาร ทำให้เอาเรื่องภายในมาเปิดเผยภายนอกเพื่อดิสเครดิต
และจากกรณีนางผ่องพรรณ ก็ลามไปจนถึงปมบุตรชาย “นายปฐมพล จันทร์โอชา” ซึ่งเป็นหลานของ พล.อ.ประยุทธ์ เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจัด (หจก.) คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่นของนายปฐมพล เป็นคู่สัญญารับเหมาหน่วยงานภาครัฐทั้งสิ้น 11 โครงการ (สัญญา) รวมวงเงิน 155,603,000 บาท ในจำนวนนี้เป็นโครงการของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 7 โครงการ 97,651,000 บาท และที่ตั้งบริษัทยังตั้งอยู่ในค่ายทหาร
จนถูกถามถึงความไม่เหมาะสม ทวงถามถึงมาตรฐานทางจริยธรรมเกิดขึ้น ทำให้ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบ
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เรื่องที่ถูกโจมตีเหล่านั้นจริงหรือเปล่า พิสูจน์หรือยังว่ามันผิด โดยในเรื่องการทำธุรกรรมบริษัท ยังไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เขาคงไม่โง่หรอก แต่ผมไม่รับประกันแทนอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของเขาที่ต้องรับผิดชอบไป”
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ “ศรีสุวรรณ” ยื่นให้ ป.ป.ช.สอบสวนไม่ได้มีแค่ปมเดียวเพราะตั้งแต่ “พล.อ.ปรีชา” ขึ้นมาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ยังถูกนายศรีสุวรรณยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้สอบสวนกรณีที่ “พล.อ.ปรีชา” ลงนามอนุมัติให้ นายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย เข้าเป็น นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน สังกัดกองทัพภาคที่ 3 รับเงินเดือน 15,000 บาท ในยศเป็น ว่าที่ร้อยตรี อีกกระทงหนึ่ง
ขณะเดียวกันยังมีการขุดคุ้ย “พล.อ.ปรีชา” ปมแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จต่อ ป.ป.ช. ตอนที่เข้ารับตำแหน่ง สนช. เมื่อสิงหาคม 2557 โดยระบุว่ามีเงินฝากทั้งหมด 10 บัญชี รวมเป็นเงิน 89.41 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากในชื่อของ พล.อ.ปรีชา 5 บัญชี รวมเป็นเงิน 42.05 ล้านบาท และเงินฝากของสหกรณ์ ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งมีชื่อ พล.อ. ปรีชา และนางผ่องพรรณ จันทร์โอชา คู่สมรส เป็นเจ้าของบัญชี อีก 5 บัญชี รวมเป็นเงิน 46.99 ล้านบาท แต่ในหน้าสรุปรายละเอียดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกลับแจ้งว่า นางผ่องพรรณไม่มีเงินฝากนั้น
กระทั่ง 13 ต.ค. 2558 ป.ป.ช.ได้พิจารณาและมีมติ โดย “” เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ระบุว่า จากการตรวจสอบพบว่า พล.อ.ปรีชามิได้แสดงรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าหลัก แต่ได้แสดงรายการเงินฝากของคู่สมรสไว้ในหน้าที่ต้องแนบท้าย รายละเอียด และได้แนบเอกสารประกอบเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากของคู่สมรสมาด้วย กรณีนี้จึงมิได้เป็นการจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ
นอกจากคนในครอบครัว “พล.อ. ประยุทธ์” ที่ถูกบ่วงการตรวจสอบทุจริต ยังมีเรื่องพี่น้องในกองทัพที่เคยสั่นสะเทือนบัลลังก์อำนาจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อปี 2558 คือปมอุทยานราชภักดิ์ เป็นโครงการที่ผลักดันโดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม สมัยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.
เรื่องราวของอุทยานราชภักดิ์ ถูกขุดคุ้ยขยายปมกลายเป็นการพัวพันการ “หักหัวคิว” 20 ล้านบาท ขณะที่นายทหารใกล้ชิดรอบตัว “พล.อ.อุดมเดช” ต่างโดนออกหมายจับ และหลบหนีออกนอกประเทศ
ในที่สุดที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติ 9 ต่อ 0 เสียง เห็นว่าโครงการดังกล่าวเป็นการดำเนินการถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติทุกประการ
แม้ว่าภาพของ “พล.อ.ประยุทธ์” จะปลอดคอร์รัปชั่น แต่กลับกลายเป็นบริวารคนใกล้ชิดทั้งในเครือญาติและในกองทัพที่ถูกตั้งข้อสงสัย
เสมือนเป็นสนิมเนื้อในกัดกร่อนความโปร่งใสของรัฐบาล