หัวข้อข่าว: หวั่นซ้ำรอย’49‘เลื่อนสั่งคดีรอบ4ธัมมชโยฟอกเงิน
ที่มา: ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
ไทยโพสต์ * อัยการเลื่อนสั่งคดี “ธัมมชโย” กับพวกฐานฟอกเงินออกไปเป็นครั้งที่ 4 อ้างรอผลสอบเพิ่มเติมเพื่อความครบถ้วน แต่ รมว.ยุติธรรมยืนยันผลสอบเรียบร้อย มีประเด็นหลักครบถ้วนสมบูรณ์สามารถสั่งฟ้องได้เลย ถามใครกันแน่ระหว่างอัยการ-พนักงานสอบสวนที่ถ่วงคดี “ไพบูลย์” หวั่นซ้ำรอยปี 49 ถอนฟ้องธัมมี่!
เมื่อวันจันทร์ คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งเลื่อนการสั่งคดี นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด และพระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ สุทธิผล) หรือพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรม กาย กับพวกรวม 5 คน ในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และรับของโจรจากสห กรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ
คณะทำงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษระบุว่า เนื่องจากต้องรอผลการสอบสวนเพิ่มเติมให้มีความครบถ้วนจากพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) โดยทางอัยการได้นัดฟังคำสั่งครั้งต่อไปในวันที่ 30 พฤศจิกายนนี้ เวลา 09.30 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการเลื่อนนัดสั่งคดีพระธัมมชโยกับพวกฟอกเงินนี้ นับเป็นการเลื่อนสั่งคดีเป็นครั้งที่ 4 แล้ว นับแต่พนักงานอัยการได้รับสำนวนการสอบสวนจากดีเอสไอเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2559 โดยขณะนี้นายศุภชัยยังคงถูกคุมขังในเรือนจำฯ ในคดีที่ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำคุก 8 กระทง 32 ปี คดียักยอกทรัพย์สหกรณ์ฯ สำนวนแรก
ส่วนพระธัมมชโยได้ถูกออกหมายจับ แต่ยังไม่สามารถติดตามตัวมาได้ เช่นเดียวกับ น.ส.ศรัณยา มานหมัด ที่ได้ถูกออกหมายจับและยังติดตามตัวมาไม่ได้เช่นกัน
วันเดียวกัน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เผยว่า ได้สอบถามไปยัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งก็ได้รับรายงานว่าในส่วนของดีเอสไอเรียบร้อยแล้ว ซึ่งประเด็นใหญ่ที่เป็นประเด็นหลักนั้น สามารถสั่งฟ้องได้แล้ว
“ประเด็นใหญ่ที่มันเป็นประเด็นที่จะนำไปสู่การฟ้องศาลมันครบถ้วนหมดแล้ว แต่ถ้าจะไปมองเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เพิ่มนิดเพิ่มหน่อย มันไม่ใช่ปัจจัยหลักของข้อมูลที่จะต้องมีหรือไม่มีก็ได้ ซึ่งสามารถไปว่ากันในชั้นศาลได้ ซึ่งเขาตอบผมมาอย่างนี้ จึงต้องไปถามอธิบดีดีเอสไอ ไม่ใช่มาถามผม เพราะผมไม่ใช่พนักงานสอบสวน” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมมองว่าอาจเป็นการถ่วงเวลา พล.อ.ไพบูลย์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ จะให้ไปพูดได้อย่างไรว่าใครถ่วง พร้อมกับย้อนถามผู้สื่อข่าวว่า “สรุปแล้วใครถ่วง พนักงานสอบสวนหรืออัยการถ่วง วันนี้สังคมกำลังพูดแบบคุณ ผมเป็นรัฐมนตรี ก็มีหน้าที่คุมแค่นโยบาย ซึ่งก็ได้เรียกอธิบดีดีเอสไอมาสอบถามแล้ว”
รมว.ยุติธรรรมย้ำว่า สังคมก็จะพูดแบบที่พวกคุณพูด ซึ่งมันมีอยู่สองคนที่จะถ่วง คือพนักงานสอบสวนหรืออัยการ ถ้าเข้าใจว่าเป็นการถ่วง ดังนั้นจะไปตอบได้อย่างไรว่าใครถ่วง เพราะมันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ตนก็เข้าใจอย่างนี้ อย่างไรก็ตาม การที่อัยการเลื่อนนัดฟังคำสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องในคดีดังกล่าว ไม่เกี่ยวกับการที่ดีเอสไอ ยังไม่ได้ตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดี ซึ่งมันเป็นคนละประเด็นกัน
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าขาดประเด็นเล็กประเด็นน้อยคืออะไรบ้าง รมว.ยุติธรรมกล่าวว่า ตนไม่รู้ ต้องไปถามอธิบดีดีเอสไอ เขารายงานมาว่ามันเป็นประเด็นที่ไม่ใช่หัวใจหลัก ถ้าขาดปัจจัยหลักมันจะทำให้คดีมันฟ้องไม่ได้ ซึ่งเขาพูดอย่างนั้น ไม่ใช่ตนพูด
“ผมจะไม่ทำอะไร เพราะเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม คุณคิดว่า พล.อ.ไพบูลย์เป็นรัฐมนตรีจะทำอะไร ในเมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม จึงต้องไปถามอัยการกับพนักงานสอบสวน คุณจะให้รัฐมนตรีไปนั่งเป็นพนักงานสอบสวนเองหรือ ซึ่งมันทำไม่ได้ มันเป็นการไปก้าวก่ายการทำงานของเขาอีกทั้ง ทางอธิบดีเขาก็บอกผมมาแล้วว่าจุดแตกหัก จุดใหญ่ มันสอบสวนครบหมดแล้ว” พล.อ.ไพบูลย์กล่าว
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า ได้รับฟังเสียงเรียกร้องจากประชาชน ทั้งผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนฯ รวมถึงประชาชนที่เฝ้าติดตามปัญหาที่เกิดขึ้น ที่มีความรู้สึกร้อนใจและเกรงว่าการบังคับใช้กฎหมาย จะไม่สามารถดำเนินการได้กับผู้มีอิทธิพล โดยเฉพาะกับพระธัมมชโย ซึ่งตนเชื่อว่าหลังจากนี้ประชาชนคงจะเรียกร้องขอให้อัยการผู้ดูแลในคดีดังกล่าว ดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมแก่เขา
นายไพบูลย์กล่าวว่า ขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานมากแล้ว หากเปรียบเทียบกับคดีอื่นคงไม่ได้ใช้เวลามากเท่าคดีนี้ แต่ทราบมาว่าทางอัยการได้มีความเห็นสั่งฟ้อง นายศุภชัยกับพวก รวม 12 คน เป็นผู้ต้อง หาในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงเงิน ดังนั้นก็ต้องติดตามเส้นทางของเงินต่อไปว่าไปที่ใด ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องมาที่ความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและรับของโจร ที่พระธัมมชโยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมอยู่ด้วย เชื่อว่าในส่วนคดีของพระธัมมชโยนั้นจะต้องมีความคืบหน้าและมั่นใจในการทำงานของทางอัยการ
“อย่างไรก็ตาม ประชาชนมีความกังวล โดยเกรงว่าคดีของพระธัมมชโยในความผิดฐานสมคบกันฟอกเงินและรับของ โจรนี้ จะไปซ้ำรอยกับคดีในปี 2549 ที่อัยการสูงสุดได้ขอถอนฟ้องคดีของพระธัมมชโยจากศาลอาญา” นายไพบูลย์กล่าว และว่า แต่ส่วนตัวมองว่าอัยการสูงสุดในปี 2549 กับอัยการสูงสุดคนปัจจุบันมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เช่นเดียวกับบริบทของของคดี ที่มีข้อแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเหมือนกัน ตนมั่นใจว่าอัยการสูงสุดจะให้ความเป็นธรรม พร้อมทั้งเชื่อว่าจะเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของทางอัยการไม่ให้เสียหายเหมือนอย่างในปี 2549
เขาเชื่อว่าประชาชนคงเฝ้ารอและคาดหวังว่าการเลื่อนสั่งฟ้องคดีของทางอัย การในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย และผลการทำงานของอัยการคงจะเห็นเป็นที่ประจักษ์ในวันที่ 30 พ.ย.นี้